Mathcenter Forum

Mathcenter Forum (https://www.mathcenter.net/forum/index.php)
-   ฟรีสไตล์ (https://www.mathcenter.net/forum/forumdisplay.php?f=6)
-   -   เด็ก"ฮ่องกง-ไต้หวัน"แซงหน้าสิงคโปร์ เก่ง"คณิตศาสตร์"ที่สุดในโลก (https://www.mathcenter.net/forum/showthread.php?t=6388)

banker 26 มกราคม 2009 15:44

เด็ก"ฮ่องกง-ไต้หวัน"แซงหน้าสิงคโปร์ เก่ง"คณิตศาสตร์"ที่สุดในโลก
 

วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11279 มติชนรายวัน
ref : http://www.matichon.co.th/matichon/v...day=2009-01-26


เด็ก"ฮ่องกง-ไต้หวัน"แซงหน้าสิงคโปร์ เก่ง"คณิตศาสตร์"ที่สุดในโลก

คอลัมน์ รู้แล้วบอกต่อ

โดย ธันวา วิน




ประธานาธิบดี อินเดีย- ประธานาธิบดีประติภา พาติล ของอินเดีย กำลังพบปะกับนักเรียนที่ได้รับรางวัลเนชั่นแนล เบรเวอรี อะวอร์ด ในกรุงนิวเดลี ก่อนจะถึงวันประกาศสาธารณรัฐ ซึ่งตรงกับวันที่ 26 มกราคม (เอพี)

เป็นที่ทราบกันดีว่า นักเรียน นักศึกษาในเอเชียเก่งกว่านักเรียน นักศึกษาในประเทศตะวันตกในหลายๆ เรื่อง อาทิ ในเวทีการแข่งขันการสะกดคำที่มีขึ้นประจำทุกปีในประเทศสหรัฐอเมริกา คนที่ชนะมักจะเป็นเด็กเชื้อสายเอเชียแทบทั้งนั้น

จากการสำรวจแต่ละ ครั้ง ส่วนใหญ่จะพบว่าโดยทั่วไปแล้วนักเรียน นักศึกษาในเอเชียมักจะเรียนเก่งและอยู่ในมาตรฐานสากลมากกว่านักเรียน นักศึกษาจากตะวันตก โดยเฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ ยังพบว่านักเรียน นักศึกษาที่พูดภาษาเดียวกันทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน มักจะมีคะแนนดีกว่านักเรียนที่พูดคนละภาษาที่โรงเรียนและบ้าน

ทั้ง นี้ ผลการศึกษาสำรวจครั้งหลังสุดพบว่า นักเรียนในฮ่องกงและไต้หวันแซงหน้านักเรียนจากประเทศสิงคโปร์ และกลายเป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดในโลกในวิชาคณิตศาสตร์ โดยผลการศึกษาของวิทยาลัยบอสตันในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินการศึกษาใน 37 ประเทศ กับนักเรียนรวมจำนวน 425,000 คน พบว่านักเรียนเกรด 4 และเกรด 8 ในประเทศสิงคโปร์ได้คะแนนสูงสุดในวิชาวิทยาศาสตร์ ในขณะที่นักเรียนเกรด 4 และนักเรียนเกรด 8 ในฮ่องกงและไต้หวันได้คะแนนสูงสุดในวิชาคณิตศาสตร์

ส่วน นักเรียนจากสหรัฐอเมริกาได้คะแนนใน 2 วิชานี้อยู่ในอันดับที่ 10 นักเรียนในญี่ปุ่นอยู่ในลำดับที่ 5 และนักเรียนจากประเทศโมร็อกโกอยู่ลำดับรั้งท้ายทั้งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยา ศาสตร์

และเป็นเรื่องที่แน่นอนว่า นักเรียนที่เรียนเก่งดังกล่าวโดยมากมาจากครอบครัวที่มีฐานะเศรษฐกิจที่ดี...

banker 26 มกราคม 2009 15:47

ไทยแลนด์แดนสยามของเรา
แค่ออกข้อสอบแข่งขัน ยังออกผิดบ่อยๆ (ent ยังมีผิด)
คงยังอีกไกลกว่าจะตาม(แม้แต่เวียดนาม)ทัน :D

Julian 26 มกราคม 2009 20:15

ประเทศไทย ช่างล้าหลัง

ทั้งนี้อาจเป้นเพราะ บุคลากรด้วย

คนเรียนด้วย ประเทศไทยมีคนสนใจคณิตศาสตร์อย่างจริงจังน้อยมากๆครับ

ใครสนใจก็ไปโลด ใครทิ้งก็ลงเหวโลด

ประเทศไทยบางทีผมก็เห็นว่าเหมือนแกงฮังเลอ่ะครับ แกงโฮ๊ะด้วย

Pocket 28 มกราคม 2009 20:40

ผมว่าเป็นที่ระบบการศึกษาไทยมากกว่าครับ

เหมือนให้เด็กรู้กว้างมากเกินไป และไม่สามารถนำไปใช้จริงได้

การเรียนการสอนของเด็กไทย ถ้าสายวิทย์ ก็มุ่งให้เป็นนักวิชาการ คือต้องรู้ทั้งหมด
(ผมเรียนอยุ่ปริญญาตรี เรียนสาขาคณิตศาสตร์เนี่ยเเหละครับ ยังมีวิชา ฟิสิกส์ เคมี อยุ่เลย ถ้าถามว่าเรียนแมท และเรียนเคมีกะฟิสิกส์ไปทำไม ถ้าบอกว่าเ พราะอยุ่สายวิทย์ไง เลยต้องรู้วิชาเกี่ยวกับสายวิทย์ ผมถามว่านั่นใช่แล้วเหรอ เพราะเด็กหลายคนอ่อนฟิ อ่อนเคมี แต่ชอบแมท แต่็ต้องโดนวิชาพวกนี้มาดึงให้เสียจิต โอเค หลายคนอาจบอกว่ายังไงมันก็เกี่ยวกันอยุ่ดี เพราะฟิสิกส์ก็เอาสูตรของแมทไปใช้ทั้งนั้น และฟิสิกส์็ใกล้เคียงกับแมทมากที่สุด แต่ว่าในฐานะที่ผมเรียนแมท แต่ไม่เก่งฟิ ผมก็ยังรุ้อยู่ดีว่ามันเกี่ยวข้องกัน แต่ความสงสัยของผมมีมากกว่า เพราะการเรียนฟิสิกส์ในตอนนี้ มันเป็นแบบการท่องจำมากกว่า แม้จะมีที่มา แต่ก็ไม่ได้บอกที่มาทั้งหมด จู่ๆ ก็ดึงเอาสูตรของแมทมาใช้เลย)

ระบบการศึกษาไทย ก็เหมือนกับตะแกรงตาห่างๆ ที่คอยร่อน แล้วคัดเด็กที่เป็นก้อนหินก้อนใหญ่ๆไว้ ถ้าใครใหญ่ไม่พอตะแกรง ก็ร่วงลงไปเอง และก็ไม่มีใครสนใจด้วย


ใครจะรับผิดชอบเด็กเหล่านั้นล่ะครับ


วันนี้มีรุนพี่ภาคผมที่จบไปแล้ว เคยไปทำงานอยุ่กับบริษัทไมโครซอฟท์ ที่อเมริกา เขามาบรรยาย

เขาบอกว่า ปัจจุบัน เด็กที่"ตกงาน"มากที่สุด เป็นเด็กที่"มีการศึกษา" ส่วนเด็กตกงานน้อยที่สุด เป็นเด็กที่ไม่มีการศึกษา



นี่หรือ อนาคต เด็กไทย

Julian 28 มกราคม 2009 20:53

อ้างอิง:

ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ Pocket (ข้อความที่ 48604)
ผมว่าเป็นที่ระบบการศึกษาไทยมากกว่าครับ

เหมือนให้เด็กรู้กว้างมากเกินไป และไม่สามารถนำไปใช้จริงได้

การเรียนการสอนของเด็กไทย ถ้าสายวิทย์ ก็มุ่งให้เป็นนักวิชาการ คือต้องรู้ทั้งหมด
(ผมเรียนอยุ่ปริญญาตรี เรียนสาขาคณิตศาสตร์เนี่ยเเหละครับ ยังมีวิชา ฟิสิกส์ เคมี อยุ่เลย ถ้าถามว่าเรียนแมท และเรียนเคมีกะฟิสิกส์ไปทำไม ถ้าบอกว่าเ พราะอยุ่สายวิทย์ไง เลยต้องรู้วิชาเกี่ยวกับสายวิทย์ ผมถามว่านั่นใช่แล้วเหรอ เพราะเด็กหลายคน่อนฟิ อ่นเคมี แต่ชอบแมท แต่็ต้องโดนวิชาพวกนี้มาดึงให้เสียจิต โอค หลายคนอาจบอกว่ายังไงมันก็กี่ยวกันอยุ่ดี เพราะฟิสิกส์ก้อเอาสูตรของแมทไปใช้ทั้งนั้น และฟิสิกส์็ใกล้เคียงกับแมทมากที่สุด แต่ว่าในฐานะที่ผมเรียนแมท แต่ไม่เก่งฟิ ผม็รุ้ว่ามันเกี่ยวข้องกัน แต่ความสงสัยของผมมีมากกว่า เพราะการเรียนฟิสิกส์ในตอนนี้ มันเป็นแบบการท่องจำมากกว่า แม้จะมีที่มา แต่ก็ไม่ได้บอกที่มาทั้งหมด จู่ๆ ก็ดึงเอาสูตรของแมทมาใช้เลย)

ระบบการศึกษาไทย ก็เหมือนกับตะแกรงตาห่างๆ ที่คอยร่อน แล้วคัดเด็กที่เป็นก้อนหินก้อนใหญ่ๆไว้ ถ้าใครใหญ่ไม่พอตะแกรง ก็ร่วงลงไปเอง และก็ไม่มีใครสนใจด้วย


ใครจะรับผิดชอบเด็กเหล่านั้นล่ะครับ


วันนี้มีรุนพี่ภาคผมที่จบไปแล้ว เคยไปทำงานอยุ่กับบริษัทไมโครซอฟท์ ที่อเมริกา เขามาบรรยาย

เขาบอกว่า ปัจจุบัน เด็กที่"ตกงาน"มากที่สุด เป็นเด็กที่"มีการศึกษา" ส่วนเด็กตกงานน้อยที่สุด เป็นเด็กที่ไม่มีการศึกษา



นี่หรือ อนาคต เด็กไทย

ครับ นี่แหล่ะครับ ประเทศไทย

แล้วของที่กรองอยู่ในตะแกรงที่ใหญ่เกินไปนั้น

อาจไม่ใช่เพชรพลอย อาจไม่ใช่รัตนพรรณ อาจไม่ใช่แร่อันทรงค่า

แต่อาจเป็นแค่หินก้อนใหญ่ธรรมดาก้อนหนึ่ง

แต่ถ้าโชคร้ายไปกว่านั้น อาจจะเป็นหอนลาวาที่ยังเหลวไม่หมด

ตะแกรงนั้นก็จะสลายหายไปในชั่วพริบตา

แต่ในทางกลับกัน ส่วนที่ถูกตะแกรงร่อนออกไปนั้น

อาจจะเป็นเพชรน้ำงามที่ซักวันจะได้มาประดับเพชรยอดมงกุฎ

อาจจะเป็นรัตนพรรณอันมีค่า และหายาก มากราคายิ่งนัก

อาจจะเป็นทองคำขาว หรือ ทองคำ

นี่คือสิง่ที่ผมเรียกว่า

" ตะแกรงกรอง ไม่ได้เรื่อง "

ผมอยากให้คุณคิดต่อไปว่า

ถ้าเรายังใช้ตะแกรงอันนี้กรองเศษดิน หิน ทราย โคลน เพชร ทอง พลอย

ต่อไป จะเกิดอะไรขึ้น!!!!!

Pocket 28 มกราคม 2009 21:17

ก็นั่นเเหละครับ แล้วเราจะทำอะไรได้ล่ะครับ

ในเมื่อคนใช้ตะแกรง เป็นคนที่ไม่เคยลงมารับรู้อะไรเรย

รุ้แค่ว่าตะแกรงมันดี แค่นั้นเอง เอาระบบแบบเมืองนอกมาใช้

เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมก็นั่งคุยกับอาจารย์

อาจารย์เขาก็บ่นๆให้ฟัง ว่าไม่ว่าจะคณบดี หรือคนใหญ่คนโต ก็ได้แค่สั่งให้อาจารย์ หรือลูกจ้างทำอย่างเดียว อาจารย์หลายคนก็รู้ในจุดบกพร่อง แต่เขาไม่มีปากเสียง แล้วจะไปทำอะไรได้ หลักสูตรไทยตอนนี้ ไม่ได้สอนให้เด็กทำไรเป็นเป็นเลย สอนให้ได้ตามที่พวกคนใหญ่คนโตต้องการ

ใครที่หลุดไปก่อนนั้น ก็ไม่มีใครไปเหลียวแล จนสภาพสังคมต้องเละ

เด๋วดูปีนี้ก็ได้ครับ เด๋วจะมีบัณฑิตจบใหม่อีกเยอะ งานยิ่งมีน้อย อย่างนี้ตะแกรงยิ่งห่างมากกว่าเดิม และบัณฑิตใหม่ มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มากขึ้นในทุกๆปีด้วย

ถ้าคณะบดียังเป็นอย่างนี้กันอยุ่ รับรอง อีกไม่นาน........

ถ้าจะถามว่าจะเปลี่ยนตะแกรง หรือหลักสูกตรนั้น มันเป็นไปได้ไหม คงเป็นไปได้ แต่ว่า ใครจะทำล่ะ

Pocket 28 มกราคม 2009 21:27

อ้างอิง:

ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ Julian (ข้อความที่ 48608)
ครับ นี่แหล่ะครับ ประเทศไทย

แล้วของที่กรองอยู่ในตะแกรงที่ใหญ่เกินไปนั้น

อาจไม่ใช่เพชรพลอย อาจไม่ใช่รัตนพรรณ อาจไม่ใช่แร่อันทรงค่า

แต่อาจเป็นแค่หินก้อนใหญ่ธรรมดาก้อนหนึ่ง

แต่ถ้าโชคร้ายไปกว่านั้น อาจจะเป็นหอนลาวาที่ยังเหลวไม่หมด

ตะแกรงนั้นก็จะสลายหายไปในชั่วพริบตา

แต่ในทางกลับกัน ส่วนที่ถูกตะแกรงร่อนออกไปนั้น

อาจจะเป็นเพชรน้ำงามที่ซักวันจะได้มาประดับเพชรยอดมงกุฎ

อาจจะเป็นรัตนพรรณอันมีค่า และหายาก มากราคายิ่งนัก

อาจจะเป็นทองคำขาว หรือ ทองคำ

นี่คือสิง่ที่ผมเรียกว่า

" ตะแกรงกรอง ไม่ได้เรื่อง "

ผมอยากให้คุณคิดต่อไปว่า

ถ้าเรายังใช้ตะแกรงอันนี้กรองเศษดิน หิน ทราย โคลน เพชร ทอง พลอย

ต่อไป จะเกิดอะไรขึ้น!!!!!


โอเค ความคิดของคุณอาจจะใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

ความคิดของคุณแค่มุ่งเป้าไปเฉพาะบางกลุ่ม ไม่ได้หมายถึงทุกคน

อย่างน้อยการเรียนแมทของผม ก็ทำให้ผมคิดว่าต้องสนใจในทุกค่าระหว่างค่า ไม่ใช่สนใจแบบก้าวกระโดด โดยไม่สนใจสิ่งที่ตัวเองไม่ได้มอง เหมือนคุณมองค่าที่เส้นจำนวน 0ถึง 1 มันเป็นเซตจำกัดหรือเซตอนันต์ โดยส่วนใหญ่แล้ว จะเห็นว่าเป็นเซตจำกัด เพราะสนใจแค่ 0 กับ 1 ซึ่งคนใหญ่คนโตก็มองอยุ่แค่นี้ ไม่ได้สนใจค่าระะหว่างศูนย์กับ 1 เลย

แม้อาจช่วยเหลือไม่ได้ทุกคนก็จริง แต่อย่างน้อย การเรียนการศึกษาของไทยก็น่าจะสอนอะไร เพื่อให้เด็กรับมือกับอนาคตที่ต้องเผชิญได้บ้าง

ไม่ใช่ว่า ใครไม่ได้เข้าเรียนแล้ว ก็ต้องออกไปเผชิญชะตากรรมเอาเอง

อย่างนี้มันเหมือนกับเห็นแก่ตัวมากกว่า

รัฐบาลบังคับให้เด็กต้องเรียนจบถึงนั่นถึงนี่ แต่ไม่สามารถรองรับเด็กทั้งหมดที่เรียนได้ แล้วคุณจะไปบังคับทำไมครับ

ถามว่าถ้าจบปริญญา แล้วจะสามารถหางานดีๆได้เรยเหรอ ผมว่าส่วนใหญ่แล้วไม่ได้หรอก ที่ได้ก็พวกเรียนก่งจริงๆเท่านั้นเเหละ



นอกจากเบื่อการเมืองไทยแล้ว ผมยังเบื่อระบบการศึกษาไทยมาก

Julian 28 มกราคม 2009 23:16

ผมเน้น ที่จะพูด เกี่ยวกับคนที่ยังช่วยตนเองไม่ได้ ในวงการนี้

ไอ้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถือตะแกรงก็ปล่อยมันไป

และผมว่า กระทู้นี้เริ่มลุกโชนขึ้นมาแล้ว

Pocket 29 มกราคม 2009 11:02

ผมก้อว่างั้น

แต่คนที่ถือตะแกรงอยุ่ ในความหมายของผมเป็นพวกที่นั่งดูอยุ่ข้างบน และออกระบบมา

ส่วนหินหรือกรวดผมหมายถึงเด็กที่ต้องเผชิญชะตากรรม


อย่างไรมันก็เป็นแค่ข้อคิดที่ฝากเอาไว้

เพราะอย่างไร อย่างพวกเราก้อคงเข้าไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก

นอกจากพวกข้างบนเขาจะหันลงมามองอย่างจริงจังเท่านั้นเเหละ ไม่ใช่เอาแต่นั่งออกแโดบบระบบการศึกษาำโ ดยคำนึงถึงผลประโยชนฺ์ตัวเอง

gnopy 29 มกราคม 2009 12:26

ทุกวันนี้ระบบการศึกษายังต้องทดลอง(ลองเปลี่ยนระบบ) อยู่เรื่อยๆ เพื่อหาระบบการศึกษาที่ดีที่สุด แต่ผู้ใหญ่เราคิดไม่ค่อยเป็นเลยเลียนแบบเมืองนอก ซึ่งสภาพแวดล้อมของไทยกะเมืองนอกเค้าไม่เหมือนกัน เปรียบเสมือน ชอบใส่ close เดินสยาม ผูกผ้าพันคอ เลียนแบบฝรั่ง แต่โทษที เมืองไทยร้อนตายชัก ซึ่งที่ต่างประเทศเขาทำกันเพราะอากาศเค้าหนาว ส่วนน้องๆ รวมทั้งผมและคนที่ศึกษาอยู่ ก็ต้องเป็นหนูทดลองกันต่อไป

Pocket 29 มกราคม 2009 12:52

อ้างอิง:

ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ gnopy (ข้อความที่ 48630)
ทุกวันนี้ระบบการศึกษายังต้องทดลอง(ลองเปลี่ยนระบบ) อยู่เรื่อยๆ เพื่อหาระบบการศึกษาที่ดีที่สุด แต่ผู้ใหญ่เราคิดไม่ค่อยเป็นเลยเลียนแบบเมืองนอก ซึ่งสภาพแวดล้อมของไทยกะเมืองนอกเค้าไม่เหมือนกัน เปรียบเสมือน ชอบใส่ close เดินสยาม ผูกผ้าพันคอ เลียนแบบฝรั่ง แต่โทษที เมืองไทยร้อนตายชัก ซึ่งที่ต่างประเทศเขาทำกันเพราะอากาศเค้าหนาว ส่วนน้องๆ รวมทั้งผมและคนที่ศึกษาอยู่ ก็ต้องเป็นหนูทดลองกันต่อไป

ถูกต้องแระคับ คนไทย คิดไรไม่ค่อยเป็นหรอก ไม่ได้หมายถึงทั้งหมดหรอกนะ หมายความว่าเฉพาะคนที่เอาแต่คอยเลียนแบบคนอื่น ไม่ว่าทั้งเด็กหรือผู้ใหญ่นั่นเเหละ

เพียงแค่มองเห็นต้นไม้รอบๆตัว เราจะไม่มีวันรุ้หรอก ว่าเราอยุ่ในป่า นอกจากออกมาข้างนอก และมองมันกลับไป

Julian 29 มกราคม 2009 17:11

คนเกิดมาหาความรู้สู่สมอง
คิดทดลองสิ่งใหม่เพื่อให้เห็น
คิดสิ่งใหม่ทำสิ่งใหม่ให้ทำเป็น
สุดลำเค็ญคนส่วนใหญ่ไม่เอาการ

ไปเข้าเรียนเพียรพร่ำมุ่งจำท่อง
ให้ทดลองสิ่งใหม่ไม่เอาถ่าน
เรื่องความจำ นำเรียนเขียนรายงาน
ผลสอบผ่านเกรดดีมีคนชม

อันความรู้มีอยู่มากในสมอง
คราจะต้องนำมาใช้ให้ขื่นขม
เพราะความจำเหือดหายดั่งสายลม
เกียรตินิยมทำสิ่งใดก็ไม่เป็น

บัตรกระดาษประกาศผลให้จนจิต
ใบเบิกทางชีวิตขอคิดเห็น
แค่พื้นฐานงานชีวิตคิดไม่เป็น
ต้องลำเค็ญเป็นลูกแหง่เกาะแม่กิน

อีกจำพวกคิดใหม่ไม่ต้องหา
รอเวลาเพื่อนคิดประดิษฐ์ศิลป์
ลอกเลียนแบบนั้นสบายได้ทำกิน
เก่งปล้อนปลิ้นสินทรัพย์ทางปัญญา

เลียนลอกได้ขายมาราคาต่ำ
เร่งกระทำกราดเกลื่อนกันทั่วหน้า
ประโคมข่าวเล่าเป็นภูมิปัญญา
ขายสินค้าความคิดเพื่อนเบือนว่าตน

จึงล่มแล้วล่มเล่าขาดเป้าหมาย
แผ่ขยายทำงานตามความสับสน
จึงสงสารเด็กไทยใจอับจน
วกเวียนวนตามกระแสใครแลมอง

คนเกิดมาหาความรู้สู้ชีวิต
ทุกความคิดหากเสริมค่าจะสนอง
บางความคิดไร้ปริญญามารับรอง
ค่าเทียบทองมองเกรดเพียงเศษดิน

เครดิต : วชรกานท์

เด็กอยากเทพ 29 มกราคม 2009 17:25

ผมก็เหมื่อนกันผมว่าเนื้อหาตามหลักสูตรมันง่ายๆไปนะครับถึงรุ้ก็สุ้ใครไม่ได้ต้องพึ่งตัวเอง+กวดวิชาลูกเดียว
แล้วก็วิชาประวัติศาสตร์แค่สอนให้รักชาติก็น่าจะพอแล้วไม่เห็นต้องท่องอะไรมากมายเลยว่าไหมครับ

mongravirna 03 กุมภาพันธ์ 2009 11:27

กระทู้นี้เปลี่ยนจากการชื่นชมประเทศอื่นเป็นด่าประเทศตัวเองแล้วหรือเนี่ย?

โดยส่วนตัวนะครับ
ผมก็ชอบคณิต ก็เลยทำคณิต
แล้วก็ไม่ได้ไปสนใจระบบการศึกษาอะไรมาก
ผมทำในสิ่งที่ตัวเองมี"สิทธิ"ทำเท่านั้นเอง

คิดว่าเราพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ
แล้วก็ช่วยเหลือคนที่เค้าอยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆก็พอมังครับ

เรื่องอื่นเราไปทำอะไรมากไม่ไหวหรอกครับ
ปัญหาพวกนี้ เท่าที่รู้ ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นคับ
จะเป็นมากหรือน้อย เราก็พิสูจน์ไม่ได้อีกน่ะแหละ

ทำเท่าที่ทำได้ละกันคับ
เปลี่ยนความสิ้นหวังให้กลายเป็นความหวังให้ได้...

ครูนะ 03 กุมภาพันธ์ 2009 14:34

การศึกษาไทย
 
การศึกษาไทยมันพังมานานแล้ว ต้องทำการปฏิวัติใหม่ ไม่ใช่ปฏิรูป เพราะเด็กในวันนี้จะเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต แต่ทุกวันนี้คนที่กุมระบบการศึกษาไทย ไม่มีความรู้อะไรเลย บ้าแต่เงินและอำนาจ นอกจากนั้นยังอยากให้ประชาชนโง่จะได้ปกครองง่าย จะได้เอาประเทศไทยไปขายให้ต่างชาติ ไม่ต้องรออะไรหรอก ตอนนี้ปรเทศเวียดนามเหนือกว่าเรามากครับ อันนี้ผมไม่ได้พูดลอยๆ นะ มีนักวิชาการหลายท่านเขียนไว้ อีกไม่นานเกิดรอครับ ถ้าประเทศไทยไม่ปรับ คนไทยส่วนใหญ่ เน้นว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่ทุกคน จะแย่หมดครับ


เวลาที่แสดงทั้งหมด เป็นเวลาที่ประเทศไทย (GMT +7) ขณะนี้เป็นเวลา 22:13

Powered by vBulletin® Copyright ©2000 - 2024, Jelsoft Enterprises Ltd.
Modified by Jetsada Karnpracha