Mathcenter Forum

Mathcenter Forum (https://www.mathcenter.net/forum/index.php)
-   ฟรีสไตล์ (https://www.mathcenter.net/forum/forumdisplay.php?f=6)
-   -   คิดว่าจริงไหม? (https://www.mathcenter.net/forum/showthread.php?t=4353)

t.B. 09 พฤษภาคม 2008 01:14

คิดว่าจริงไหม?
 
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNew...=9510000052884
ลองอ่านกันดูเองนะครับ ไม่ขอพูดอะไรมาก:rolleyes:

RETRORIAN_MATH_PHYSICS 09 พฤษภาคม 2008 02:09

มันก็จริงครับ

คusักคณิm 09 พฤษภาคม 2008 08:40

true :p(for my)

Aermig 11 พฤษภาคม 2008 00:21

ไม่ใช่ไม่มีที่ให้เด็กไม่เก่งหรอกครับ ไม่มีที่ให้เด็กจนซะมากกว่า
ก็เล่นกวดวิชาซะขนาดนั้น ทำให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้เองได้
แล้วก็ทำให้เด็กไม่มีเวลาคิดทบทวนว่าตัวเองถนัดหรือชอบอะไร
เป็นเพราะพวกกวดวิชาที่ขึ้นมาสูบเลือดเด็กกันเต็มบ้านเต็มเมือง
(ผมเห็นเข้าไปแล้วเรียนไม่ไหวก็เยอะ เพราะตอนสอบได้ก็คงเหราะกวดวิชานั่นแหละ)

Puriwatt 11 พฤษภาคม 2008 22:34

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของประเทศไทย นับวันยิ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ...
ในจังหวัดที่ผมอยู่ จะเริ่มมีการสอนพิเศษตั้งแต่ชั้นอนุบาล1 และผู้ปกครองจะสนับสนุนอย่างแรง
พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกตนเองเรียนเก่งและสอบเรียนต่อในสถาบันการศึกษาที่ดังๆได้

ครูบางคนก็นำข้อสอบเก่ามาสอนในตอนเรียนพิเศษ เพื่อให้เด็กมีคะแนนสอบสูงและได้เกรดดี
จะได้มีผู้ปกครองสนับสนุนมากๆ โดยไม่รู้ว่าอาหารสำเร็จรูปนี้ ทำให้เป็นโรคขาดสารอาหาร(สมอง)
ครูเปรียบเสมือนผู้ชี้ทาง นักเรียนควรจะเดินทางด้วยตัวเองบ้าง ไม่เช่นนั้นต้องเรียนพิเศษตลอดชีพแน่ๆ

คusักคณิm 12 พฤษภาคม 2008 21:16

การศึกษานั้นควรพัฒนาเด็กตามความสามารถนั้นถูกต้องแล้ว ประเทศพัฒนาแล้วก็ดำเนินการเช่นนี้ แต่มีปรัชญาว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังคนเดียว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เหมือนการเดินเป็นกลุ่ม คนเดินเร็วก็เดินข้างหน้า ใครเดินช้าก็เดินอยู่หลัง บ้านเราการเรียนการสอนแบบนี้ยังมีน้อยกว่าหลายๆประเทศมาก โดยเฉพาะประเทศแถบนี้ อย่าพูดถึงจีน เกาหลี หรือสิงคโปร์เลย เวียตนามเขาก็ก้าวหน้ากว่าเราหลายขุมแล้ว และที่แย่กว่านั้นโรงเรียนส่วนใหญ่เน้นการท่องจำ การสอบเป็นแบบท่องจำ ทำให้ต้องกวดวิชา จึงไม่แปลกเลยที่คนเรียนได้ 4 บางโรงเรียน พอสอบเอเนต โอเนตแล้วได้เลขแค่นิดน้อย จะว่าข้อสอบยากเหรอก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมีคนทำคะแนนเต็มมากมายกว่าสมัยผมเอ็นทรานซ์ซะอีก สิ่งที่ต้องทำคือสร้างห้องเรียนเด็กพิเศษขึ้นทุกอำเภอ มีระบบการคัดเด็กและส่งต่อเพื่อพัฒนาเด็กให้ถูกต้อง อัจฉริยะมีอยู่ในทุกที่ ถ้าไม่พัฒนาก็จะกลายเป็นเด็กปกติ หรืออาจเลวร้ายกลายเป็นเด็กมีปัญหาได้ อย่ารังเกียจกับห้องพิเศษเลย ไม่เช่นนั้นเราจะดักดานเหมือนที่ผ่านมาหลายสิบปี ที่เน้นทุกคนต้องเก่งเท่ากัน ท่องเหมือนๆกัน โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว
เลิกทำแบบเมื่อยี่สิบปีก่อนเถอะ
ไปเอาข้อความจากความคิดเห็นเขา มาเห็นว่าดีเลยเอามาให้อ่าน

คณิตศาสตร์ 18 พฤษภาคม 2008 18:08

อืม เรื่องนี้ผมว่านะถูกแล้วครับครูเป็นเพียงผู้ชี้แนวทางว่าให้เราก้าวต่อไปทางไหนเท่านั้นเองและเป็นที่ปรึกษาแก่นักเรียนนะครับ
และที่เด็กเวียดนามเขาไปไกลนะเพราะเขาเปลี่ยนระบบการศึกษาใหม่ ดูประเทศเราสิเรียนๆๆๆเรียนเยอะอย่างแรงเลยครับ เรียนเอาเป็นเอาตายครับ ทำให้ไม่มีสุขภาพจิตที่ดี เรียนจนไม่มีเวลาว่าง เรียนในสิ่งที่ไม่จำเป็น สอบก็เยอะทำให้เด็ดเครียดเข้าทุกทีครับ
อย่างห้องผมนะครับ เพื่อนผมเรียนเยอะกว่าผมอีกผมเรียนแค่ 4 วันเอง เพื่อนผมเรียนทุกวันยังไม่เข้าใจบางส่วนเลยครับ เรียนๆจนไม่มีเวลาว่างสำหรับตัวเองเลยครับ ในโลกนี้มีคำว่า ตัณหา ถึงมีการกวดวิชาขึ้นมาครับ และการไม่ยอมรับผู้อื่น ในที่นี้เฉพาะบางคนครับ
สรุปคือ การเรียนอยู่ในห้อง เรียนให้เต็มที่ เมื่อไม่เข้าใจก็ถาม ถ้าไม่เข้าใจจริงๆก็ไปเรียนพิเศษเพิ่มส่วนที่ไม่เข้าใจ แล้วกลับไปอ่านทบทวนสม่ำเสมอ ทีนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียนพิเศษเยอะให้มันเสียเวลา เสียเงิน เสีย... ไปอีกตลอด เรียนเท่าที่จำเป็นเพื่อเราจะได้มีเวลาไปออกกำลังกายบ้าง พักผ่อนบ้าง ไม่งั้นสมองมึนไม่รับการเรียนรู้ใดๆทั้งสิ้น (อันนี้เคยโดนมาแล้ว อ่านหนังสือติดต่อกัน 3-6 ชั่วโมงไม่พัก มึนมากๆต้องนอนเลยครับ) ลองไปอ่านบทความดูว่าสมองเราต้องการอะไรถึงจะดีนะครับ
ปล.ครูที่ปรึกษาผมยังเห็นด้วยครับเกี่ยวกับเรื่องนี้

mathematiiez 24 พฤษภาคม 2008 11:15

อื้ม

จริงมาก

แต่ถ้าเราตั้งใจจริง

เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน

เหมือนกันคือ...ประสปผลสำเร็จ^^

Aermig 24 พฤษภาคม 2008 17:44

:)บางคนอาจจะคิดว่า การจัดห้องอัจฉริยะจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมของนักเรียน(ซึ่งก็เป็นความจริง ขนาดแค่มีห้องคิงมันก็ยังเกิดขึ้นแล้ว)
ดังนั้น การจัดห้องพิเศษจะส่งผลเสียทางสังคม
จริงๆแล้วควรเป็นการพัฒนาความสามารถพิเศษของนักเรียนเหล่านั้นในยามว่าง
ซึ่งโรงเรียนควรจัดการ อาจจะเป็นสัปดาห์ละครั้งหรือ2ครั้ง หลังเลิกเรียน
ที่สำคัญไม่ควรเก็บค่าบริการ เพราะไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นกวดวิชาไปในที่สุด

mathematiiez 25 พฤษภาคม 2008 21:28

เสียทางสังคม.......อื้มม

อีกอย่าง คนที่อยู่ห้องคิง บางคนทะนงตัวมากกกก

อย่างนี้แหละ ได้อย่างเสียอย่าง

เฮ้ออออ

TS_SME 01 มิถุนายน 2008 18:16

คงจะจริงมั๊ง

ถึงจะโง่แต่ก้อไม่ไร้สมอง 11 กรกฎาคม 2008 21:14

ให้ตายสิ
มันเป็นจริงทุกประการเลยอ่ะ
โรงเรียนเราก้อมีอะไรแบบนี้เหมือนกันนะ

แต่อย่าให้เราวิจารณ์เรื่องนี้เลย
ไม่จบเป็นอ่ะ

Anonymous314 11 กรกฎาคม 2008 23:33

ผมว่าเป็นเกือบทุกโรงเรียนเลยครับ :great:

Walk_on 16 กรกฎาคม 2008 16:19

มันขึ้นอยู่กับที่ คนให้ความรู้ หรือ ครู ในโรงเรียนด้วยครับ ถ้าคุณดีจริง เด็กไม่ต้องไปเรียนพิเศษที่อื่น แต่ก็ทำข้อสอบ ได้เท่าเทียมกับเด็กที่ไปเรียนพิเศษ
แต่ ยุคสมัยนี้มันไม่ใช่แล้วครับ คนเป็นครูเพราะว่า ไม่มีอะไรให้ทำเยอะแยะไป เดี๋ยวนี้เข้าครูง่ายเสียเหลือเกิน ผมเรียนเอกคณิตศาสตร์กับเพื่อน เพื่อนผมที่มาเรียนเอกเดียวกับผม ยัง บวกลบเศษส่วนไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่ยังมาเรียน ครุ + คณิต
ขอแสดงความคิด ในฐานะครูคณิต คนนึง

Puriwatt 17 กรกฎาคม 2008 12:09

1.ครูอาจารย์ คือผู้สอนสั่งชี้นำทั้งในหลักแห่งวิชาการและหลักจริยธรรม
- ครูควรจะมีความรู้เพียงพอที่จะสามารถทำหน้าที่ได้อย่างดี และควรมีความรักเอาใจใส่ในอาชีพของตน
- ครูที่มีความรักในอาชีพของตน จะหมั่นศึกษาค้นคว้า ในหลักวิชาที่ตนรับผิดชอบอยู่ และมักจะมีความรู้ที่ทันสมัย
- การพัฒนาศักยภาพของครู ถ้าได้ครูมีคุณภาพดีมาเป็นผู้ชี้ทางให้เด็กแล้วประเทศไทยคงจะเจริญกว่านี้แน่
- จากการสังเกตุดูพบว่ามีครูบางคนในบางโรงเรียนได้กลายเป็นพนักงานรับจ้างสอนไปแล้ว และบางคนก็สอนพิเศษ
เพื่อให้มีรายได้เพิ่ม ทำให้ผู้ปกครองบางคนคิดว่า "การศึกษาสามารถซื้อได้ด้วยเงิน" จึงเป็นการศึกษาขาดตอน

2. นักเรียน คือผู้ศึกษาหาความรู้ความชำนาญตามที่ครูสั่งสอน
- นักเรียนมีหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่มีผู้ปกครองเป็นผู้ชี้นำและคอยควบคุมขีดเส้นให้เดิน
- น้อยคนนักที่จะรู้ว่าตนต้องการอะไร และจะสามารถไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้อย่างไร
- เมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่นก็มักจะเลือกเรียนตามเพื่อน และเรียนพิเศษในสถาบันต่างๆ โดยไม่เข้าใจหลักการเรียนรู้
- เมื่อเด็กที่เติบโตขึ้นมาในสภาพนี้จะมีแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาที่ผิด และจะทำให้เกิดวงจรการซื้อความรู้
และไม่สามารถประยุกต์หลักการแท้จริงของการศึกษามาใช้กับการดำรงชีพได้อย่างถูกต้อง

3.การจัดห้องเรียนพิเศษ สำหรับเด็กที่มีความสามารถเฉพาะทางนั้นเป็นการสมควรแล้ว
เพราะจากงานวิจัยต่างๆในต่างประเทศ มักจะมีข้อสรุปตรงกันว่า "เมื่อนำเด็กที่มีพรสวรรค์เหล่านี้มาเรียนรวมกันแล้ว
จะสามารถพัฒนาอัจฉริยภาพได้ดีขึ้น และดีกว่าปล่อยทิ้งขว้างไปตามยถากรรม"
- ในหลายประเทศจึงมีการจัดกลุ่มการเรียนรู้ตามความสามารถที่เรียกว่า ห้อง คิง, ควีน, วิทย์ เป็นต้น
- ในการจัดการสอนสำหรับเด็กพิเศษ ก็เพื่อให้เกิดการฝึกฝนไปพร้อมกันได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
- ความรู้ที่เกิดจากการรับรู้ จะเป็นการแปลสารโดยใช้ประสบการณ์เดิม (จะผิด-ถูก ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัว)
- ต้องนำมาฝึกฝนจนชำนาญ(หมั่นคิด+หมั่นทำ) จึงจะถูกต้องและสามารถนำไปใช้การได้จริง
- เรียนพิเศษ เป็นเรื่องพิเศษสำหรับคนพิเศษ ถ้าเพียงแค่รับรู้แล้วไม่นำมาฝึกฝน,ฝึกทำ มันก็แค่ผ่านไปเท่านั้น

"ขอขอบคุณ คุณครู ผู้สอนสั่ง...ผู้เป็นดั่ง แสงไฟ ให้ทางฉัน
คิดถึงครู ผู้ชรา มานานวัน...ฝันถึงวัน ที่ฉันได้ กลายเป็นครู"


เวลาที่แสดงทั้งหมด เป็นเวลาที่ประเทศไทย (GMT +7) ขณะนี้เป็นเวลา 22:29

Powered by vBulletin® Copyright ©2000 - 2024, Jelsoft Enterprises Ltd.
Modified by Jetsada Karnpracha