Mathcenter Forum

Mathcenter Forum (https://www.mathcenter.net/forum/index.php)
-   ปัญหาคณิตศาสตร์ทั่วไป (https://www.mathcenter.net/forum/forumdisplay.php?f=1)
-   -   หา พ.ท. สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า (https://www.mathcenter.net/forum/showthread.php?t=421)

Matt 28 มิถุนายน 2002 15:32

หา พ.ท. สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า
 
หา พ.ท. สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า
จะหา พ.ท. สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าได้ยังไงค่ะ ถ้าเกิดเค้าให้มาแค่ด้าน 4 ด้านคือ 5.8 148.3 117 115.80
ข้อความ : ""จะหา พ.ท. สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าได้ไง ถ้าเกิดเค้าให้มาแค่ด้าน 4 ด้านคือ 5.8 148.3 117 115.80 ช่วยทีค่ะ "" และก็มีพี่บางคนแนะนำมาว่า ถ้ารู้ค่ามุมหนุ่งค่า จะสามารถหา พ.ท ได้ ขอให้อาจารย์ หรือ เพื่อนพี่ๆ ที่ทราบ ยกตัวอย่างหน่อยนะครับ ขอบคุณ มากๆครับ

<คิดด้วยคน> 28 มิถุนายน 2002 17:08

ลองดูที่หัวข้อนี้นะครับ ช่วยพิสูจน์สูตร หาพื้นที่สี่ เหลี่ยมโดย ให้ด้านทั้งสี่มา ให้หน่อยครับ

<ดร> 03 สิงหาคม 2002 22:00

ผมอยากวิจารคุณ gon
นิดหน่อยคือว่าไม่ยอมอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงเท่าใดนัก
ผมอ่านเจอเรื่องที่ว่าหนังสือกระทรวงไม่ดีแล้วทำไมไม่คิดบ้างล่ะว่า
มันเป็นตัวสร้างพื้นความรู้ให้คุณ
หรือคุณเก่งเลอเลิศมาตั้งแต่เกิด ผมคิดว่าถ้าตำราคุณดีจริง
ป่านี้ทางกระทรวง คงจะเอาไปเป็นแบบเรียนกันทั้งประเทศแล้ว
มั้ง จริงมั้ย
ไม่คิดบ้างว่าเด็กที่ไม่มีโอกาสจะเป็นอย่างไร?
ผมคิดว่าอย่างน้อยคุณก็น่าจะเอาไปคิดบ้าง
เผื่อจะเลิก เพ้อฝันหันหน้าชนกำแพงอยู่อย่างนี้

gon 04 สิงหาคม 2002 17:25

บรรทัดไหนตรงไหนที่ใดเว็บใดที่ผมเคยว่าหนังสือกระทรวงไม่ดี .ตัวผมเองย่อมรู้ดีแก่ใจตัวเองครับ. ว่าทำอะไร เขียนอะไรพูดอะไรไปบ้าง ใจผมเป็นอย่างไรผมรู้ดี มีแต่ผมแนะนำให้เด็กที่ผมคุยด้วยไปอ่านหนังสือแบบเรียนมาก่อนทั้งนั้น ในบทความที่ผมเขียนเรื่อง อยากเรียนเก่ง ผมก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วครับ. นี่ผมจะ copy มาให้ดูบางส่วน

" แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยครับ. "

ผมขอใช้สิทธิ์ไม่ตอบโต้คุณ ดร นะครับ สาเหตุเพราะ
1.ผมไม่รู้จักคุณ
2.คุณเข้าใจผมไม่ถูกต้อง

ถ้าต้องการสนทนา ข้อความประเภทนี้และต้องทราบรายละเอียดอื่น ๆ กรุณา email มาที่ mathcenter@email.com นะครับ.สมาชิกที่มีหูมีตาและรู้จักเคยคุยกับผมย่อมทราบดีครับว่าผมกำลังทำอะไร.(อ้อ.หนังสือผมยังเขียนไม่เสร็จนะครับ) คราวหน้ากรุณาตอบให้ตรงประเด็นกระทู้นะครับ. ถ้ามีข้อความที่ไม่ตรงประเด็นประเภทนี้อีกผมขอใช้สิทธิ์ webmaster ลบข้อความนะครับ.

ToT 04 สิงหาคม 2002 22:37

แหะๆๆ ก็เป็นพยานยืนยันด้วยคนครับ เข้ามาดูตอนบ่ายก็อึ้งๆ + งงๆ ไปหาคำว่ากระทรวงใน board ก็เจอในกระทู้ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวกันเลย ( ทุน กพ. )

<เพื่อน ดร> 07 สิงหาคม 2002 13:58

ผมขอแสดงความเห็นด้วยกับคุณ ดร ครับ
ขอวิจารณ์ web นี้หน่อยนะครับ
web นี้มีผู้ดูแลอยู่สองคน คนหนึ่งเก่งจริง แต่เป็นคนซ่อนคม ไม่พูดมาก ไม่ดูถูกหรือพูดจาก้าวร้าวคนอื่น ตั้งหน้าตั้งตาเขียนหัวข้อใหม่ๆ และตอบโจทย์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้อย่างแท้จริง

อีกคนหนึ่งทำตัวเหมือนเก่ง (เก่งไม่จริง) พูดจายโสโอหัง เหมือนข้านี่แหละเจ๋งที่สุดในแผ่นดิน แต่ให้ลองสังเกตุดูสิว่าโจทย์ที่คนคนนี้ทำได้แต่ละข้อ มีแต่โจทย์พื้นฐานทั้งนั้น ใจคอคับแคบ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น อวดเก่งทั้งที่ไม่เก่งจริง พูดจาดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ขอให้ปรับปรุงตัวเองด้วย รู้ไว้ด้วยเถอะว่าคนที่เก่งกว่าคุณยังมีอีกเยอะ ผมมั่นใจว่าเพื่อนรอบตัวผมหาคนเก่งกว่าคุณได้เป็นสิบคน

ได้ข่าวว่าคุณใช้เวลาเรียนปริญญาตรี 5 ปี ไม่ใช่เหรอ ถ้าเก่งจริงทำไมเรียนจบทีหลังคนอื่นล่ะ

ถ้าใจกว้างขอให้ยอมรับคำวิจารณ์ ห้ามลบข้อความนี้ มีอะไรจะแก้ตัวก็ว่ามา

ผมไม่ใช่คุณ ดร หรอก ไม่เชื่อดู IP address ดูสิ และผมคิดว่าคนที่เห็นเหมือนคุณ ดร และผมยังมีอีกหลายคน อาจเป็นคนทั้ง web เลยก็ได้

gon 09 สิงหาคม 2002 16:27

ยินดีอย่างยิ่งเลยครับ. ที่มีคนเก่ง ๆ อย่าง เพื่อนคุณดร และ เพื่อนของเพื่อนคุณดรอีก 10 กว่าคนที่ว่า มาช่วยตอบคำถามในกระทู้ต่าง ๆนะครับ. คงต้องรบกวนแล้ว อย่าหนีไปไหนนะครับ.

ไหน ๆ ก็เป็นครั้งแรกที่อยู่ ๆ ก็มีคนมาว่าผมแล้ว ผมก็จะถือโอกาสนี้เล่าประวัติส่วนตัวผมเพิ่มอีกเล็กน้อย และ แนวคิดบางอย่างที่ผมยังไม่เคยเล่าให้ฟังที่ไหน
จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่นะครับ. ชีวิตผมตั้งแต่ขึ้นเรียนชั้นมัธยม 1 ก็ประสบปัญหาครอบครัว ทำให้ผมต้องเรียนหนังสือโดยอาศัยทุนการศึกษามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นทุนอาหารกลางวัน ทุนการศึกษาค่าเล่าเรียน จนถึงเรียนจบมหาวิทยาลัย เงินกว่า 80% นั้นผมอาศัยทุนมาตลอดครับ. ชีวิตผมเริ่มรับรู้ปัญหาที่ไม่ควรจะรู้มาตั้งแต่เด็ก ทำให้ผมต้องเริ่มที่จะหัดคิดด้วยสมองน้อย ๆ ตอนนั้นว่า อนาคตของตัวเรานั้นจะเป็นอย่างไร จะต้องทำอะไร สิ่งที่ผมคิดได้ตอนนั้นก็มีเพัยงแต่ว่า เราจะต้องตั้งใจเรียนหนังสือ จะต้องขยันเพื่อที่จะมีความรู้ติดตัว จะต้องรู้จักคิด และ ทำในสิ่งที่ควรทำ สมัยผมเรียนมัธยมมีเงินติดตัวไปวัน ๆ หนึ่งไม่กี่บาท เพราะค่ารถก็ไม่ต้องเสีย เพราะบ้านอยู่ใกล้โรงเรียน ค่าอาหารก็อาศัยทุนอาหารกลางวัน อยากจะซื้อหนังสือสักเล่มก็ต้องอาศัยเก็บเงินเอา นั่นคือผมต้องคิดให้มาก ๆ เข้าไว้ว่า มันจะคุ้มไหมถ้าผมจะซื้อหนังสือเล่มนั้น เพราะมันคือเงินเก็บค่าขนมของผม ชีวิตประจำวันของคนที่ต้องคิดแล้วคิดอีกว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ทำให้ต้องรู้จักใช้ห้องสมุดให้เป็นประโยชน์ นั่นคือทุกกลางวันและเวลาว่างผมจะไปขลุกอยู่ในห้องสมุดตลอด ในขณะเดียวกันหนังสือต่าง ๆ นอกเหนือไปจากที่มีในห้องสมุด ถ้าผมอยากอ่านผมต้องทำไงครับ. ผมก็ต้องไปร้านหนังสือแล้วก็ยืนอ่าน ๆ ๆ แล้วก็พยายามใช้มันสมองที่มีอยู่เพื่อที่จะจดจำและก็รับรู้สิ่งต่าง ๆ เข้าสมองให้มากเท่าที่จะจำได้ ผมอยากร้องเพลงไหน ผมก็ไปยืนจำเอา ไปยืนอ่านนั่งอ่านจนเรียกว่าพนักงานในร้านถ้าใครจำผมไม่ได้ แสดงว่านั่นล่ะไม่ใช่พนักงานร้านจริง

ผมต้องคิดเสมอว่า ณ ตอนนี้ผมควรทำอะไร เพื่อตัวผมเองในอนาคต ผมอยากจะไปดูหนัง เที่ยวเตร่ เหมือนคนทั่วไป ถึงแม้ว่าผมจะมีสตางค์พอ ผมก็ทำไม่ได้ เพราะผมต้องคิดแล้วคิดอีกว่า มันคุ้มไหมกับอนาคตของผม คุ้มไหมกับเวลาที่เสียไป ถ้าผมอยากจะพักผ่อน Entertain ผมจำเป็นไหมที่จะต้องไปเที่ยวเตร่ แน่นอนว่าผมหาคำตอบได้ และสิ่งนั้นมีประโยชน์ ก็คือการออกกำลังกายไงครับ. อย่างที่ว่าไว้ว่าถ้าผมจะซื้อหนังสือสักเล่มผมจะต้องคิดแล้วคิดอีกว่า เอ. หนังสือเล่มนี้มันควรค่าแก่การเสียเงินซื้อไปไหม ผมทำไงครับ. ผมจะลองยืนอ่านมันดูตรงนั้นล่ะ วันนี้ไม่ได้คำตอบ พรุ่งนี้ก็มายืนอ่านใหม่ แล้วคิดอีกที คำตอบสุดท้ายที่ผมมักจะพบก็คือ เออ.มันก็งั้น ๆ ล่ะ ไม่น่าเสียเงินซื้อเท่าไร เพราะผมลองอ่านดูแล้ว ผมรู้เลยว่าเออ อย่างนี้เราก็คิดเองได้ เข้าใจเองได้โดยไม่ยาก และ ผมก็ยังมีที่พึ่งก็คือห้องสมุด

จวบจนกระทั่งผมเรียนจบมหาวิทยาลัย ด้วยทุนการศึกษานี่ล่ะ สิ่งแรกที่ผมตั้งปณิธานไว้กับตัวเองคืออะไรรู้ไหมครับ. นั่นก็คือ ผมจะไม่ขอเงินทางบ้านแม้กระทั่งบาทเดียว ผมจะต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ผมทำได้ไหม ลองเดาดูสิครับ. ผมทำได้ จนบัดนี้ผมก็ยังไม่เคยขอเงินทางบ้านแม้บาทเดียว หนำซ้ำผมยังส่งเงินให้ทางบ้านทุกเดือนอีกด้วย

คราวนี้ก็มาว่าเรื่องส่วนตัวต่อไปอีกก่อน อย่างที่บอกไว้แต่ตอนต้นนะครับ ว่าผมเวลาคิดอะไรจะต้องคิดแล้วคิดอีก จวบจนมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้น 1. มั่นใจว่าทำได้ 2. มีประโยชน์ในอนาคต หลังจากที่ผมจบ ผมก็มานั่งคิดนอนคิดอย่างจริงจังเป็นเดือน ๆ ว่า เอ. ผมควรทำอะไรดี หลายคนคงแปลกใจว่า อ้าวคุณ เรียนจบอะไรมาก็ทำที่เรียนมานั่นไปสิ แน่นอนครับแน่นอน. ในมุมมองผมนั่นคือความคิดของคนทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่ผมไม่คิด ผมคิด คิด และ ก็ชั่งน้ำหนัก ชั่งขึ้นชั่งลง ชั่งแล้วชั่งอีก ผมพยายามใช้สมองของผม มองไปให้ไกล (ตรงนี้บางท่านอาจคิดว่าผมกำลังเพ้อเจ้อ) ผมคิด เอ. สิ่งที่เราจะทำไต่อไปนั้น มันควรจะเป็นประโยชน์แก่ใครบ้างน้า. เฉพาะแก่เรา ?.ถ้าเฉพาะแก่เรา ผมเองก็ควรที่จะมุ่งหน้าหาเงินสิ อืม. ถ้าแก่คนอื่นล่ะ เอ เรามีกำลังพอไหมนะ แต่เอ๊ะ มองลองไปไกล ๆ มองรอบ ๆ ตัวเราเอง สังคมที่เราอยู่ทุกวันนี้มันเป็นยังไงนะ มันมีปัญหาหรือเปล่า อืมมันมี ๆ แต่เอ๊ะคำว่าปัญหานี่มันก็นิยามยาก เพราะแต่ละคนก็มีการมองปัญหาเดียวกันที่แตกต่างกัน

ผมจะยกตัวอย่างนะครับ. สมมติว่ามีกระป๋องน้ำอัดลมกระป๋องหนึ่ง ถูกทิ้งไว้บนริมฟุตบาท ในลักษณะนอนอยู่ คราวนี้ถ้ามีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา แล้วก็เห็นกระป๋องดังกล่าว สิ่งที่ชายคนนี้จะตัดสินใจ อาจเป็นอย่างนี้ คือ 1. ไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา เรื่องปกติ ใคร ๆ ก็ทิ้ง หรือ คิดว่ารอให้พนักงานเก็บขยะมาเก็บ ว่าแล้วก็เดินผ่านไป 2. คิดว่ามันเป็นปัญหาในทำนองที่ว่า มองดูแล้วไม่สะอาดตาเสียเลย ว่าแล้วก็จะก้มลงไปหยิบ แต่เอ๊ะ ! ถ้ากระป๋องมันเปื้อน ก็อาจเปลี่ยนใจไม่หยิบแล้ว ว่าแล้วก็เดินผ่านไป 3. มองว่ามันเป็นปัญหา คือ คาดเดาว่าในกรณีเลวร้ายอย่างเช่น คนตาบอดเดินผ่านมา ,เด็กวิ่งเล่น ก็อาจจะไปสะดุดลื่น ทำให้ล้มคว่ำได้ มันสมองก็อาจจะได้รับอุบัติเหุต หรือ ด้วยเหตุอันไม่พึงประสงค์ใด ๆ ก็ตามที ชายคนนี้จะทำยังไงครับ ก็ต้องเก็บไปทิ้งในถังขยะ แต่เก็บไปทิ้งด้วยมุมมองที่ต่างกับ 2 แบบแรก เห็นไหมครับ ว่าเรื่องเดียวกัน เห็นสิ่งเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วแต่ละคนก็จะมีมุมมองที่แตกต่างกัน คราวนี้ก็มีคำถามที่ผมถามต่อไปกับตัวเองว่า เอ. ถ้าทั้งโลกนี้มีแต่คนคิดแบบแรกเกือบทั้งหมด หรือ คิดแบบที่สองอยู่มาก สังคมที่เราอยู่มันก็ไม่มีทางแก้นะสิ แล้วในความเป็นจริงมันเป็นเช่นไรล่ะ มีคนอย่างที่ผมว่ามากน้อยเพียงใด แต่ละคนคงมีคำตอบอยู่ในใจเองนะครับ.

เอาเป็นว่าผมคิดว่าสังคมนี้มันมีปัญหาให้แก้เยอะมากก็แล้วกัน. คราวนี้ก็ลงไปในวิธีการหรือหลักการ ว่าจะควรแก้ปัญหาอย่างไรดี ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วนะครับว่า ในสังคมเรามีปัญหาอะไรบ้าง เช่น ความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องของการศึกษา, ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของคนรวยสุด ๆ กับคนจนสุด ๆ , การคอรับชั่น, ค่านิยมการใช้ของฟุ้งเฟ้อ , ระบบการปกครอง, ป่าถูกทำลาย, เกิดสงครามระหว่างประเทศ , สัตว์ป่าสูญพันธุ์ ฯลฯ ผมนั่งคิดปัญหาอย่างนี้หลายรอบวนไปวนมา ผมคิดว่าปัญหาเหล่านี้ จริง ๆ แล้วมันควรที่แก้ไขได้ไหม รายละเอียดในการแก้ไข บางคนอาจจะคิดว่ามันต้องแก้ทีละเรื่อง ๆ หรือ ว่าต้องให้สิ่งนั้นก่อนสิ่งนี้ บ้างก็ว่าต้องให้การศึกษามาอันดับ 1 แต่ถ้าคนท้องมันหิวหรือไม่มีสตางค์เรียน หรือให้ไปเรียนฟรี มันจะเรียนได้ดีเป็นคนมีคุณภาพหรือ ค่านิยมความคิดของคนที่เห่อ ดีกรี ต้องจบ โท เอก แต่จิตใจที่ไม่ได้รับการเยียวยาไปพร้อม ๆ กัน แล้วมันจะมีความหมาย ? บางคนก็ว่ามันต้องแก้ทีละหลาย ๆ เรื่องพร้อม ๆ กัน ผมก็นั่งคิดแล้วพยายามมองหาความสัมพันธ์ของปัญหาต่าง ๆ เมื่อมองออกก็คิดวิธีการแก้ในหลาย ๆ วิธีที่เป็นไปได้ (ตรงนี้บางคนอาจจะว่าผมเพ้อเจ้ออีกแล้ว)

โดยส่วนตัวผมเองแล้ว ผมคิดว่าผมเจอคนที่ชอบพูดมากกว่าชอบทำนะครับ. ไม่ว่าผมจะไปอยู่ไหน ในสังคมไหน ๆ ที่มีการสนทนา ทางความคิดหรือ ชาวบ้านคุยกัน ผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่องมักจะอยู่ที่ การคุยกันแล้วไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย บ้างว่าก็ว่า เฮ้ย เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง (ใครหว่า) บ้างก็ว่า จะไปสนใจทำไม ท้องไส้ยังหาไม่พอเลย บ้างก็ว่า เฮ้อ มันเป็นปัญหาโลกแตก แก้ไม่ได้หรอก เขาทำอย่างนี้กันมานมนานแล้ว เรื่องปกติ ผมก็ลองคิดดู ว่า เออ. ถ้าจะแย่แฮะ ถ้าสังคมหรือคนส่วนใหญ่ยังเป็นอยู่อย่างวันนี้ ผมคาดเดาออกแล้วล่ะว่าอนาคตอีก 10 ปีหรือ 100 ปีข้างหน้า มันจะเป็นยังไง ผมอ่านประวัติการปกครองประเทศไทยนับตั้งแต่เริ่มมีการปกครองแบบประชาธิไปไตยมาตั้งแต่ปี 2475 (มั้ง) ผมมองเห็นเลยว่า กว่าจะมีระบบการปกครองแบบปัจจุบันนี้ได้ (ไม่ได้หมายความว่า ผมคิดว่าตอนนี้ที่เป็นอยู่มันดีแล้วนะครับ) มันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน เหมือนกับว่าเราปล่อยให้คนไม่ดีมาปกครองเราเป็นเวลานาน คนส่วนใหญ่มัวทำอะไรอยู่ ? เอ. พอมองคนรอบข้าง อ๋อ. เข้าใจแล้วมีแต่คนประเภท 1 กับ ประเภท 2 เสียเป็นส่วนใหญ่นั้นเอง กับ มีแต่คนประเภทชอบพูดแต่ไม่ชอบทำนั่นเอง

เอาเป็นว่า สุดท้ายผมได้คำตอบสำหรับอนาคตของผมแล้วล่ะ ว่าผมควรทำอะไร ที่ 1.เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง 2.เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ไปพร้อม ๆ กัน ผมวางแผนในใจไว้ เป็นแผนที่ยาวนานมาก หลายขั้นตอน ผมคงขอไม่บอกหรอกว่า จริง ๆ แล้วคิดอะไร อยากจะทำอะไร ที่แน่ ๆ ผมรู้แต่ว่าในแต่ละขั้นสิ่งที่ผมทำนั้น มันมีประโยชน์กับผมและสังคมที่ผมอยู่แน่นอน ผมจะไปถึงจุดมุ่งหมายของสิ่งที่ผมคิดหรือไม่ มิใช่เรื่องสำคัญ เพราะคนเราเกิดมาแล้วเดี๋ยวก็ต้องตายกันทุกคน เพราะถึงแม้ว่าแผนของผมจะล้มเหลวกลางทาง แต่สิ่งที่เหลือไว้หรือสิ่งที่ผมทำไว้ ก็จะมีแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สังคมทั้งสิ้น ผมอาจจะหมดพลังเมื่อไรไม่มีใครรู้ แต่ผมรู้ว่าผมคงไม่หมดพลังง่าย ๆ นักหรอก โครงการอะไรบ้างที่ผมคิดจะทำ จริง ๆ แล้วผมก็อยากจะบอกนะ แต่ในตอนนี้ผมชั่งน้ำหนักตัวเองแล้วว่า น้ำหนักคำพูดผมตอนนี้ยังเหมือนเบาเหมือนนุ่นอยู่เลย

ตอนนี้ที่เหลือในชีวิตของผมซึ่งผมได้ตัดสินใจไว้แล้วว่า ในชีวีตที่เหลือของผมนั้น ผมจะทำอะไรบ้าง ต่อจากนี้ ก็เป็นขั้นตอนลงรายละเอียดว่า แผนที่ 1. คือ ทำอะไร รายละเอียดในการปฎิบัติแผนขั้นที่ 1 คืออะไร ถ้าโอเค แผนขั้นที่ 1 สำเร็จจะต่อแผนที่ 2. ได้ ถึงตรงนี้ผมคิดว่าน่าจะมีคนมองออกแล้วว่า แผนขั้นที่ 1 ของผม คืออะไร (จริง ๆ แล้วผมทำ 3 แผนพร้อม ๆ กัน เพราะเป็นแผนที่ผมคิดว่าต้องทำพร้อมกัน จึงจะเกิด ผลสูงสุด) ผมมีเหตุผลทุกอย่างทุกขั้นตอน ทุกคำพูดในสิ่งที่ผมคิดและเขียน ว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างที่คุณดรและเพื่อนคุณดร มองจากภายนอกแล้วอาจจะคิดว่าผมกำลังทำตัวเหมือนกับว่า เก่งเลอเลิศ หรือหาว่าผมไปดูถูกหนังสือหรือใคร หรืออะไรทำนองนี้ ถ้าในเรื่องไม่จริงนั้นผมไม่ทราบว่า ไปเอารายละเอียดหรือมีวิธีการคิด การมองคนอย่างนั้นมาจากไหน แต่ที่แน่ ๆ ในหน้าแรกของเว็บไม่ว่าจะเป็นประวัติส่วนตัว รูปถ่าย หรือ บทความต่าง ๆ เช่น เรียนอย่างไร ฯลฯ ผมมีเหตุผลทั้งสิ้น รับรองได้ 100% ว่าไม่ใช่ว่าจะอวดอ้างว่าข้านั้นแน่ หรือ เก่ง แต่ประการใด (เพราะคุณยังไม่รู้เลยว่า ผมนิยามคำว่า เก่ง คือ อะไร)ผมไม่ได้อยู่บนโลกแห่งความฝันนะครับ ผมรู้ตัวเองดี เพราะผมรู้ว่าโลกแห่งความเป็นจริง ณ ขณะนี้ วินาทีนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ของสังคม คิดอย่างไร มองคนอย่างไร กับ คนอื่น ดังนั้นการแก้ปัญหาในแนวทางที่เป็นไปได้ที่ควรทำ คืออะไร ผมจะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย(ที่จริงก็คาดเดาไว้นานแล้ว) ที่จู่ ๆ ก็มีคนลุกขึ้นมาด่าว่าผม พูดตรง ๆ ว่าตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ เพิ่งเคยเจอนี่ละครับ. อันที่จริงผมก็ไม่แปลกใจหรอกว่าจะมีคนคิดอย่างนั้นกับผม เพราะอย่างที่ผมบอกไว้แต่ตอนต้นว่า ผมคิดว่าว่าผมรู้นะ ว่าคนส่วนใหญ่ตอนนี้มองคนจากภายนอกอย่างไง เห็นอะไรแล้วคาดเดาอะไร คำว่า "เก่ง" อะไรนั่น จริง ๆ แล้วผมเคยคิดว่าผมใช่หรือ แล้วผมแคร์หรือ อะไรที่ทำให้คนแบบที่คิดว่าข้านี่แน่เก่งเลอเลิศกว่าเอ็ง จนทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาด่าคนอื่น ทั้ง ๆที่ไม่ได้ทำอะไรให้สักนิดเดียว

ที่ผมยอมเสียเวลามาอธิบายครั้งนี้ เพราะผมเล็งเห็นไว้แล้วว่า มันจะมีผลเสียแน่ ๆ ถ้าปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ถึงแม้ว่าจะมีคนมองผมในแง่ลบก็ตาม ซึ่งผมไม่แคร์ แต่ที่แน่ ๆ ผมเชื่อว่า หลายต่อหลายคน อาจจะซึมซับวิธีการคิด การมองคน การดูถูกเหยียดหยามคน การคิดว่าข้าแน่แล้วทนไม่ไหวจนลุกขึ้นมาด่าชาวบ้านเขานี่ ติดกลับไปด้วย ซึ่งผมไม่อยากให้มีสิ่งนั้น คุณลองคิดดูนะครับว่า ถ้ามีของที่คุณกำลังสร้างมันให้มีรูปร่างสวยงามอยู่ แล้วจู่ ๆ ก็มีคนถือค้อนมาทุบ ถ้าคุณเป็นคนสร้างมันขึ้นมา คุณจะมองคนที่เอาค้อนมาทุบยังไง ของที่ว่าในที่นี้ตอนนี้ คือสังคมแห่งความคิดไงครับ. สังคมที่มีแต่การให้ สังคมที่มีแต่คนที่คิดช่วยเหลือผู้อื่น และ เป็นสังคมที่ไม่มีคนที่จ้องจะด่าว่าผู้อื่น ติเตียนวิจารณ์ผู้อื่น ผมถามตรง ๆ ว่า คนเหล่านี้ว่างนักหรือ ที่มาทำอย่างนี้ ประโยคที่ว่า ติเพื่อก่อ ผมไม่ชอบคำ ๆ นี้เลยครับ. ผมว่า มันควรเป็นว่า พูดให้พังซะมากกว่า เพราะถ้าคนติไม่มีใจที่จะติอย่างแท้จริง ซึ่งดูจากภาษาซึ่งชัดเจนว่า กำลังทำลาย ถ้าคนนั้น ๆ มีเวลาว่างที่จะมาติ ทำไมไม่เอาเวลานั้นไปคิดหรือสร้างสรรสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นล่ะครับ. ในที่นี้แทนที่จะเอาเวลาไปนั่งคิดโจทย์หรือปัญหาที่ยังมีคนตอบไม่ได้ แล้วช่วยกันตอบ แต่กลับเอาเวลานั้นมาว่าผม แล้วผมถามกลับว่า มันจะเกิดประโยชน์อะไร ถึงผมจะเป็นอย่างนั้นจริงแล้วจะเกิดประโยชน์อะไร กับคุณ หรือ กับสังคมแห่งนี้ ผมคิดเสมอเลยนะครับ.ว่า ผมจะ 1. ไม่ดีแต่พูด 2. ไม่เอาเวลาว่างไปมองหาข้อผิดพลาดของผู้อื่น 3. ไม่มองคนจากแวบเดียวที่ผมเห็น มีเรื่องเล่าที่ฟังดูสนุกดีนะครับ ลองฟังดู บางคนบอกว่าพระอินทร์น่ะ ตัวเขียว ๆ บางคนบอกว่า เฮ้ยไม่ใช่ จริง ๆแล้วองค์อัมรินทร์น่ะตัวสีเหลืองต่างหาก เขามีเหตุผลประกอบว่า เวลาเข้าสมาธิแล้วถอดจิตออกไปสววรค์ ถ้ามองไกล ๆ แล้วเห็นว่าเป็นสีเขียว สีที่เห็นน่ะเป็นสีสังวาลย์ของพระอินทร์ แต่ถ้าดูใกล้จะเห็นเป็นสีเหลือง เพราะพระอินทร์ตัวสีทอง

อย่างที่กล่าวไว้นานมาแล้วว่า สังคมแห่งนี้ ไม่มีเจ้าผู้ครองนคร มีแต่ประชากรที่ทั้งถาวร(เพื่อนสมาชิก) และ ผู้คนสัญจรผ่านไปมา (ผู้ไม่ใช่สมาชิก) โดยปกติของคนเรา ถ้าเราเป็นแปลกหน้า เข้าไปในเมืองแห่งหนึ่งใหม่ ๆ เราจะต้องทำไงครับ. เราก็ควรที่จะดูชาวบ้านที่เขาอยู่กันแล้วสิครับว่า เออ.ชาวบ้านเขาพูดจากันยังไง อยู่กันยังไง แล้วเราก็เลียนแบบอย่าง ถ้าสิ่งที่เขาทำกันอยู่นั้นมันดี ควรทำ ไม่ใช่ว่าเห็นว่า เมืองนี้ผู้คนสงบเรียบร้อยกันจริง ต้องก่อความวุ่นวายซะหน่อย เข้าเมืองมาไม่พูดพล่ำทำเพลง(หรือจะกบดานอยู่นานแล้ว) ชักปืนออกมายิงขึ้นฟ้า แล้วบอกว่า เจ้าเมืองมันอยู่ไหนฟะ ออกมาให้ยิงซะดี ๆ พอมีคนออกมาบอกว่า ไม่มีใครเขาว่าคุณหรอกเก็บปืนไปเถอะ เมืองนี้ไม่ใช้ปืน คน ๆ นั้นก็ยินดีเก็บปืน (ถือว่ามีมารยาท) แต่คราวนี้เพื่อนคน ๆ นั้นกลับเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ ชักปืนซะเอง แล้วก็ยิงเล่นอีก ผมในฐานะคนที่ไม่ใช่เจ้าเมืองแต่ก็ถือว่าสร้างเมืองขี้นมา ก็ต้องคิดว่าจะต้องทำยังไงกับคน ๆ นี้ดีถูกไหมครับ. ถ้าผมมองแบบความคิดที่ 2 ที่มองกระป๋องที่ว่าไป ผมก็จะไม่แตะ แต่ผมมองแล้วเป็นแบบที่ 3 ครับ. เป็นปัญหา ทางแก้ของผมก็คือ ก็ขอร้องคุณ ดร กับ เพื่อนคุณดร นะครับว่า. ถ้าไม่พอใจอะไร ไม่ตัองยิงปืนใส่ผมก็ได้ครับ. ผมให้แนวทางไว้แล้วว่าถ้าอยากระบายความอัดอั้นในใจก็ เมล์มาได้เลย ผมจะตอบข้อข้องใจให้ ไม่ใช่ว่า ยังยืนกรานจะท้าตีท้าต่อยกับผม. ผมจะเก่งจริงหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ คุณกับเพื่อน ๆ คุณที่กล่าวมานั้นถ้าเก่งจริง ก็เป็นเรื่องที่ดีครับ. แต่ช่วยเอาความเก่งจริงของคุณทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ไหมครับ. คุณมายิงใส่ผมแล้วมันได้อาจจะได้แค่ความสะใจของคุณแต่ไม่เกิดประโยชน์ต่อคนอื่นเลย แถมจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีด้วย ใจกว้างใจแคบของคุณคือยังไง ถ้ายังไม่เข้าใจอีก ผมก็ไม่รู้จะทำไงแล้วครับ. ถ้าคุณอ่านสิ่งที่ผมพยายามเขียนอธิบายมาไม่เข้าใจ พูดง่าย ๆ ก็คือไม่เห็นด้วยล่ะก็ รบกวนไปทำในสิ่งที่คุณควรทำเถอะครับ. ถ้าผมมันเลวจริงก็ตัวผมครับ. ผมจะแพ้ภัยตัวเองไปเอง วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ แต่ถ้าคุณจะคิดใหม่ มาช่วยกันสร้างสรรสังคมนี้ ผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ. สมัครสมาชิกแล้วลุย ๆ ตอบคำถามในบอร์ดหมดให้ครบเลยยิ่งดีครับ.

<java> 09 สิงหาคม 2002 20:50

ผมติดตามเวปนี้มาปีกว่า แนะนำให้ลูกชายเข้ามาด้วย
ชื่นชมต่อการเป็นคนสู้ชีวิตของคุณ gon มาก และอยากให้ลูกผมเข้ามาอ่าน จะได้รู้คนอื่นยากลำบากมากกว่าแค่ไหน

สนับสนุนและให้กำลังใจในการทำเวปต่อไป

<op> 12 สิงหาคม 2002 22:17

นี่มันจะประกาศสงครามคณิตศาสตร์กันหรืออย่างไรกันหรืออย่างไร
แล้วผมจะเชียฝ่ายไหนดี ล่ะ งงๆๆๆๆๆๆ


เวลาที่แสดงทั้งหมด เป็นเวลาที่ประเทศไทย (GMT +7) ขณะนี้เป็นเวลา 16:09

Powered by vBulletin® Copyright ©2000 - 2024, Jelsoft Enterprises Ltd.
Modified by Jetsada Karnpracha