2012 in theater
 

พอดี ได้ไปดูหนังเรื่อง 2012 มาวันนี้ครับ ซึ่งเป็นวันเข้าโรงวันแรกด้วย

สำหรับใครที่ยังไม่ได้ไปดู หรือกำลัง plan ว่าจะไปดู ผมบอกไว้อย่างแรกก่อนว่า หนังยาวใช้ได้ ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งครับ(ไม่รวมโฆษณา+ preview ตัวอย่างหนัง)

เรื่องนี้ตีความต่างจากหนังแนวโลกาวินาศ เรื่องอื่นๆ ที่เพิ่งผ่านมา อย่าง The day after tomorrow เมื่อหลายปีก่อน หรืออย่าง knowing เมื่อเมษายนที่ผ่านมา โดยที่ 2012 จะสะท้อนเรื่องของจริยธรรมและสัญชาตญาณของมนุษย์ มากกว่า ประเด็นการทำลายสิ่งแวดล้อมครับ

ผมไม่เล่า detail ของหนังให้ฟังนะครับ ต้องลองไปพิสูจน์เอง (บอกได้แต่ว่า มีฉากลุ้นระทึกอยู่หลายฉาก)

ใครที่ไปดูมาแล้ว ก็ลองมาแสดงความเห็นกันได้นะครับ

จบแบบศาสนาหรือวิทยาศาสตร์ครับ ตะก่อนเคยดูอยู่เรื่องนึง ตอนจบมีพระเยซูด้วย - - จบแบบศาสนาสุดๆ

ผมก็อยากลองดูนะครับแต่ว่า.....ผมคิดว่ายังใงเร็วๆๆนี้โลกก็คงไม่แตกหรอกครับ
เด๊ยวไว้โลกใกล้แตกค่อยเตรียมมาดู^^
ถึงจะมีโลกร้อนหรืออะไรก็ตามยังใงก็แตกอยากอยู่ดี
55+



ปล.มันเกี่ยวกับโลกแตกใช่ไหมครับ??

ตอนจบก็ไม่ได้เน้นว่าจะเป็นแบบศาสนาหรือวิทยาศาสตร์อะไรหรอกครับ ผมเข้าใจว่า คนสร้างหนังพยายามจะสื่อว่า The end is the beginning. แล้วก็เรื่องคุณธรรม จริยธรรมของมนุษย์ มากกว่า

ผมเองก็ไม่ได้เชื่อว่าวันนั้นโลกจะถึงหายนะแบบที่หนังกล่าวไว้ เพียงแต่อยากไปดูว่า ทีมผู้สร้างจะสื่อสารออกมาในรูปแบบไหน

แต่สิ่งที่ผมเชื่อแน่ๆคือ ในช่วงปี 2553-2555 จะเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงและเกินคาดเดา แน่นอน เพียงแต่ประเทศไหนจะโดนหนัก โดนเบาเป็นอีกเรื่องนึง

p.s. ใครที่ไปดูหนังมาแล้ว น่าจะคิดเหมือนผมว่า ถ้ามีกำลังทรัพย์พอ ไปเรียนขับเครื่องบินไว้บ้างก็คงจะดี :laugh:

:cry:อยากดูอ่ะ ไม่ค่อยมีเวลาเลย:cry:
มาเม้นกานด้วยhttp://www.mathcenter.net/forum/showthread.php?t=9082

ถ้าเกิด 2012 โลกแตกจริงๆ อย่าลืมมาโพสต์เตือนกันด้วยนะครับ
จะได้หนีทัน (แล้วจะหนีไปไหนดีล่ะเนี่ย:kiki:)

ผมประทับใจจากฉากเล็กๆ ที่ให้แง่คิดมากครับ (เพราะฉากใหญ่ๆ เราน่าจะเดาหรือคุ้นเคยกันแล้ว) เช่น ฉาก start รถนี่ผมชอบมากเลย

เห็นด้วยกับคุณ kanakon ครับ ถ้าตัดเรื่องเทคนิคทาง visual effect ออกไป เรื่องนี้มีแง่คิดแฝง กระจายอยู่เต็มเรื่องเลยครับ

ผมดูมาแล้วครับ2012
ผมชอบตอนที่รัฐฮาวายลุกเป็นไฟ

หนังเรื่องนี้สุดยอด!!!!!!!