เหมือนจะอยู่ในหนังสือแนว problem solving หรือหนังสือแนวจิตวิทยาการสอนเด็กอัจริยะที่ไหนสักเล่มหนึ่ง ผมจำภาพตำแหน่งของข้อความที่ว่าในสมองได้ แต่ผมจำหนังสือเล่มที่ว่าหรืออาจจะเป็นบทความที่ว่าไม่ออกครับ
เผอิญตอนนั้นไม่ได้จดเอาไว้ว่าอ่านจากที่ไหน ผมใช้การจำเป็นภาพในสมองครับ.
ซึ่งเด็กที่เก่งมาก ๆ โดยกำเนิดส่วนมากมักจะมีปัญหานี้กับครูในโรงเรียน(บางคนที่ไม่ค่อยจะ...) เพราะครูในโรงเรียนประถมหลาย ๆ คนจะยึดถือตัวเองเป็นเทพแห่งความรู้ ประมาณว่าโต้แย้งไม่ได้ เวลาแสดงวิธีคิดหรือวิธีทำต้องทำแบบเขาเป๊ะ ๆ ห้ามผิดแม้สักนิดเดียว ซึ่งหลาย ๆ อย่างไร้สาระมาก เช่น ต้องขีดเส้นใต้คำว่าวิธีทำ ต้องเขียนแบบนี้ เว้นวรรคแบบนี้ ถ้าไม่ตรงนิดเดียวถือว่าผิด โดยไม่สนใจเลยว่าแนวคิดถูกต้องหรือถ้าคิดต่างกับที่สอนก็ถือว่าผิดตลอดกาล (ผมเข้าใจว่าบางทีครูก็กำลังสอนเรื่องระเบียบ แต่หลักการของคณิตศาสตร์อยู่ที่การให้เหตุผล ครูที่สอนเลขต้องรู้จักแยกแยะว่าควรกาเครื่องหมาย ถูก ตรงไหนเพื่อเสริมกำลังใจ กาเครื่องหมาย ผิด ตรงไหนเพื่อให้รู้แก้ไข ไม่ใช่กา ผิด เป็นแบบเดียว)
ถ้าใครเคยสอนเด็กประถมหรือเด็กเล็กมาก ๆ จะเจอปัญหานี้บ่อยเลยครับ ผมจะต้องมานั่งสอนใหม่แต่แรกว่าครูไม่ใช่เทพเจ้าในห้องเรียน ครูก็ผิดได้ ครูก็มั่วได้ เราไปโรงเรียนเพื่อพัฒนาสมอง เรียนรู้แนวคิด ไม่ใช่ไปแบบเป็นถังขยะ คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งการให้เหตุผล ไม่ใช่ศาสตร์ที่ใครจะมาตั้งตัวเป็นศาสดาว่าความคิดของเขาต้องถูกที่สุด ถ้าใครสามารถอธิบายหรือให้เหุตผลได้สมบูรณ์ไร้ข้อโต้แย้ง ความคิดของคนนั้นก็ถูกต้องและสมบูรณ์ เวลาผมสอนเด็กประถม โดยเฉพาะเด็กที่เก่งโดยกำเนิด ผมก็ได้ความรู้จากเด็กมาเยอะเหมือนกัน เพราะจะมีความคิดแปลก ๆ โผล่ออกมาได้ แต่ถ้าเป็นเด็กธรรมดาซึ่งกลัวครูมาก ต้องมานั่งปรับระบบความคิดใหม่ ให้รู้จักโต้แย้งโดยใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง ก็สักระยะถึงกล้าโต้แย้ง ไป ๆ มา ๆ พอเรียนไปเรื่อย ๆ บางทีเด็กก็กลับมาบอกผมว่าคาบนี้ครู(ในห้อง)มั่วนี่นา เท่านี้ผมก็รู้แล้วว่าเด็กมีพัฒนาการ เริ่มรู้จักแยกแยะ ไม่ใช่ใส่อะไรไปให้แล้วจับรับลงสมองทันทีหมดเลย
ตอนที่ผมอ่านข้อความที่ว่า Tao สอบตกเลข รายละเอียดไม่มีบรรยายมากครับ เป็นเหมือนที่เขียนเล่าไป ว่าคุณแม่เลยต้องกลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า Tao ต้องไปคิดขัดแย้งกับครูหรือระบบการแสดงวิธีทำอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขาต้องสอบตกเพราะเหตุผลไร้สาระอะไรทำนองนั้นครับ.