สันนิษฐานว่าปัญหาเกิดจาก 3 ส่วนครับ.
ส่วนที่ 1. ไม่รู้ความหมายพื้นฐานที่นักคณิตศาสตร์ได้ตกลงกันเอาไว้ เช่น
คำว่า "ของ" หมายถึง การคูณ เช่น 3/5 ของ 10 หมายถึง (3/5) x 10
คำว่า "เป็น, อยู่, คือ" แทน เครื่องหมาย เท่ากับ =
หรือไม่ได้ฝึกแปลสมการเป็นคำพูดมาจนชำนาญก่อน เช่น 8 - 5 = 3
อาจจะเขียนเป็นภาษาได้ว่า "5 น้อยกว่า 8 อยู่ 3" หรือ "8 มากกว่า 5 อยู่ 3"
ซึ่งเมื่อเขียนเป็นสมการ เช่น "x - 5 = 3"
อาจจะเขียนเป็นภาษาได้ว่า "จำนวนจำนวนหนึ่งมากกว่า 5 อยู่ 3" เป็นต้น.
ส่วนที่ 2. ไม่รู้หลักการคำนวณพื้นฐานอย่างกระจ่างหรือความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ได้แก่ การเทียบบัญญัติไตรยางศ์ จะต้องเขียนอย่างไร อะไรอยู่ด้านซ้าย อะไรอยู่ด้านขวา
การคิดร้อยละ ถ้าเป็นเรื่องกำไร ขาดทุน จะต้องสมมติให้ทุน มีค่าเท่ากับ 100 ฯลฯ
ความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ เช่น คนสองคน ถ้ามีอายุห่างกัน 5 ปี ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปีก็ตามที(ถ้ายังไม่ตาย) คนทั้งสองก็จะต้องมีอายุห่างกัน 5 ปี ตลอดไป เป็นต้น.
ส่วนที่ 3. ไม่ได้ฝึกใช้สมองในส่วนของการนึกเป็นรูปภาพครับ
คือเวลาอ่านโจทย์ เมื่ออ่านไปทีละประโยค แล้วไม่ได้นึกหรือเห็นเป็นภาพปรากฎขึ้นในสมอง ซึ่งการนึกเป็นภาพหรือแก้ปัญหาโดยใช้ภาพนี้ จะช่วยให้เราตั้งสมการได้ง่าย ซึ่ง George Polya จัดเป็นหนึ่งในเทคนิคการแก้ปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า Draw a picture.
เมื่อสมองผมอ่อนล้าหรือหมดพลัง ไม่สามารถจินตนการภาพขึ้นมาในสมองได้ครบถ้วน หรือรู้สึกเหนื่อย แต่จำต้องคิดเลข ตอนนั้น ผมจะจับดินสอขึ้นลองเขียนภาพคร่าว ๆ ดูครับ.
อื่น ๆ ที่ต้องทำเพื่อเพิ่มพลังสมองในการคิด นั่นก็คือ การได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอต่อเนื่องกัน เป็นเวลานาน ๆ การอดนอนหรือนอนไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อพลังในการเรียนรู้ทำความเข้าใจและการแก้ปัญหาครับ. การตัดสิ่งเร้า เช่นการเสพข่าวจำนวนมาก การไม่ดูทีวีมากเกินไป การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การฝึกนั่งสมาธิต่อเนื่องกัน จะช่วยให้จิตสงบมีพลังและทำเรื่องที่เคยคิดว่ายากได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะครับ.
และสุดท้าย การอ่านทำความเข้าใจด้วยตัวเอง จากหนังสือแบบเรียนพื้นฐาน เช่นระดับประถม
http://www.scimath.org/math-ebook จะช่วยเติมเต็มหลายอย่างที่เรายังขาดอยู่ครับ.