|
สมัครสมาชิก | คู่มือการใช้ | รายชื่อสมาชิก | ปฏิทิน | ข้อความวันนี้ | ค้นหา |
|
เครื่องมือของหัวข้อ | ค้นหาในหัวข้อนี้ |
#1
|
||||
|
||||
เรียนอย่างไรให้คุ้มค่า...ไม่พึ่งพาวิชาเสริม
ถ้าจะกล่าวถึงการเรียนเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสำคัญต่อเรามากแค่ไหน
และก็มีคำกล่าวที่ว่า การเรียนคือการลงทุน ซึ่งปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เข้าใจคำว่า "ทุน" หมายถึง เงิน นั่นหมายถึงว่า อยากเรียนต้องเสียเงิน อันนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จะมีวิธีไหนที่จะต้องใช้ทุน (เงิน) น้อยที่สุด แต่ได้คุณภาพมากที่สุด อย่างนี้ ผมถือว่าเป็นการเรียนที่คุ้มค่า เหตุผลเนื่องจาก เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า ปัจจุบัน คนที่สามารถเข้าเรียนได้ หรือมีโอกาสเรียนสูง ๆ ได้ ต้องเป็นคนที่มาจากถานะ ค่อนข้างพอมีพอกิน ไม่เช่นนั้น การศึกษาก็จะอยู่เฉพาะเพียงแค่ภาคบังคับเท่านั้น ครั้นอยากเรียนต่อก็ไม่สามารถเรียนต่อได้ สำหรับเด็กชนบท แล้วโอกาสทางการศึกษามีน้อยมาก ยิ่งวิธีการศึกษาแล้ว ค่อนข้างแคบ กล่าวคือ ก็ศึกษาตามแฟชั่นทางการศึกษา โดยมีความเชื่อว่า การเรียนที่โรงเรียนไม่พอ ซึ่งผมไม่ปฏิเสธ เนื่องจากการแข่งขันในปัจจุบัน ค่อนข้างสูง แต่ตามสมัยนิยม ก็ต้องดิ้นรนหาที่เรียนพิเศษที่คิดว่าดี โดยดูตามสถาบันที่มีคนเรียนมาก ๆ หรือมีชื่อเป็นที่นิยม ซึ่งผมคงจะไม่ลงรายละเอียดว่า ดีหรือไม่อย่างไร เพราะจากประสบการณ์ การสอนที่ผ่านมา ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นเลย เป็นแต่เพียงความเชื่อ...ที่บอกต่อ ๆ กันมาเท่านั้น ว่าเข้าเรียนแล้วทำให้เรียนได้ดีขึ้น ซึ่งเรียนดีขึ้น ก็คงมีเกิดขึ้นบ้างกับบางคน แต่ก็มีอีกหลายคนที่เรียนแล้วก็ยังเหมือนเดิม สาเหตุดังกล่าวนั้นมีมากมาย (จะกล่าวถึงในหัวข้ออื่นต่อไป) แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การเรียนพิเศษนั้น จะต้องมีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามา นั้นคือภาระเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งเมื่อเทียบกับการเรียนที่โรงเรียนแล้ว ถือว่ามากว่าหลายเท่านัก แต่ความรู้ที่ได้เหมือนกัน คุณลองคิดดูนะว่า ถ้ามีคนมาขาย สิ่งที่เหมือนกันทุกประการ แต่ราคาต่างกัน ให้คุณ คุณจะเลือกซื้อสิ่งใหน แน่นอนผมว่า เราต้องเลือกสิ่งที่ราคาถูกกว่าอยู่แล้ว เพราะเหตุผลก็คือความคุ้มค่าไงหละ ซึ่งขัดแย้งกับการศึกษาในปัจจุบันมาก คือ อยากให้เรียนฟรี แต่ก็ยังอยากเสียเงินเรียนพิเศษ อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่คิดว่า การเรียนพิเศษคือความคุ้มค่าทางการศึกษาแล้ว ผมคงไม่ว่าอะไร แต่คุณลองนึกถึง คนที่หาเงินส่งให้คุณเรียน คนบางคนอาจจะคิดว่า ฐานะทางบ้านไม่มีปัญหาเรื่องเงิน เงินเรียนพิเศษแค่นี้สบาย ๆ ก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าคุณคิดแบบไม่เห็นแก่ตัว เอาตัวสบายไว้ก่อนหละก็ ผมนำเสนอวิธีการเรียนอย่างยั่งยืน ลงทุนน้อย ได้ผลมาก อีกทั้งไม่ต้องพึ่งพาวิชาเสริม (เรียนเสริม) ตลอดชาติ นั้นคือ การศึกษาแบบ 30 : 70 การศึกษาดังกล่าวเป็นวิธีที่ผมใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งให้ผลดีกับเด็กชนบทอย่างมากมาย ช่วยให้ชาวชนบทอย่างเราได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยพัฒนาถิ่นที่อยู่ของตนเอง และรู้จักสำนึกรักบ้านเกิด หลักการการศึกษาดังกล่าว สรุปง่าย ๆ คือ พึ่งตนเอง ตามแนวเศรษกิฐพอเพียง เริ่มต้น เราแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ กับ 70 เปอร์เซ็นต์ 30 เปอร์เซ็นต์ คือการศึกษาภาคบังคับ หรือเรียนที่โรงเรียน เป็นแนวทางในการศึกษาของเรา เช่น เราจะรู้ว่าเราต้องเรียนอะไรบ้าง ซึ่งเชื่อได้เลยว่าสิ่งที่เรียนล้วนได้ใช้ประโยชน์ทั้งหมด เพียงแต่บางสิ่งอาจใช้ประโยชน์ได้โดยตรง แต่บางสิ่งอาจใช้ประโยชน์ได้โดยอ้อม ซึ่งแน่นอนการเรียนที่โรงเรียนเราคงไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาของการเรียนได้หมดและแม่นยำ จึงเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งบางคนอาจไปเรียนพิเศษ หรือบางคนอาจศึกษาด้วยตนเอง ซึ่งทั้งสองวิธีมีสิ่งที่เหมือนกัน คือ ต้องใช้เวลาเหมือนกัน แต่ความคุ้มค่าไม่เท่ากัน ผมจะไม่เปรียบเทียบทั้งสองวิธีนี้ (เพราะต่างแนวคิด ต่างถานะย่อมเข้าใจต่างกัน) แต่ผมจะกล่าว ถึงวิธีการศึกษาด้วยตนเอง พร้อมทั้งความคุ้มค่าที่จะได้ การศึกษาเพิ่มเติม ด้วยวิธีที่จะกล่าวคือ การศึกษาด้วยตนเองโดยการอ่านหนังสือ หรือทำความเข้าใจด้วยตนเอง สิ่งเหล่านี้ดีอย่างไร แน่นอนผมเชื่อว่าทุกคนอ่านหนังสือได้ แต่มีกี่คนที่อ่านหนังสือเป็น จับประเด็นสำคัญได้ สิ่งเหล่านี้ได้มาจากการฝึกฝน ซึ่งการอ่านหนังสือจำเป็นจะต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่บ้างคือ ซื้อหนังสือมาอ่าน แต่เป็นการจ่ายเพียงครั้งเดียว กล่าวคือ ไม่ว่าเราต้องการความรู้จากหนังสือกี่ครั้ง ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีก ต่างจากการเรียนพิเศษ อีกทั้งประหยัดกว่า เพราะหนังสือไทยในปัจจุบันสำหรับวิชาการ ราคาอยู่ประมาณ 100-400 บาท ขึ้นอยู่กับ ความหนาของเนื้อหา จะเห็นว่าเราซื้อเพียงครั้งเดียว เราสามารถทำความเข้าใจ หรือเอาความรู้จากหนังสือได้ตลอด เช่น บางครั้งเราลืมเนื้อหาบางส่วนที่เรียน เราก็สามารถหาได้จากหนังสือ ไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษเลย อีกทั้งการอ่านหนังสือยังเป็นการฝึกการจับประเด็นสำคัญของเนื้อหาความรู้ ที่เรียนได้อีกด้วย ซึ่งในส่วนนี้ผมถือเป็น 70 เปอร์เซนต์ ของการศึกษา ซึ่งโดยสรุปก็คือ วิธีศึกษาด้วยตนเองโดยการอ่านหนังสือเอง ให้อะไรกับเรามากมาย เช่น เป็นวิธีประหยัดสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม ช่วยพัฒนาตนให้รู้จักพึ่งพาตนเอง ฝึกฝนทักษะด้านการอ่าน และการจับประเด็น สรุปเรื่องราว รู้จักหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ส่งผลให้การศึกษาเป็นการศึกษาแบบยั่งยืน คือ พึ่งตนเองได้ เป็นกำลังหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยพัฒนาประเทศ เนื่องจากวิธีเรียนรู้ดังกล่าวเป็นวิธีเรียนรู้ทุกอย่าง ๆ รอบด้าน คือ ศึกษาทุกอย่างโดยละเอียด เพราะการทำความเข้าใจอะไรบางอย่างด้วยตนเอง จำเป็นจะต้องมีความรู้อย่างรอบด้าน ทำให้เรียนรู้อะไรแล้วต้องรู้ลึกรู้จริง ไม่ใช้แค่สอบผ่าน แล้วส่งคืนอาจารย์ เพ้อฝันกับตัวเลขลม ๆ แล้ง อย่างไรก็ตามวิธีที่กล่าวมานี้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่ง ที่สามารถใช้ได้กับชีวิตประจำวัน โดยสิ่งที่จะต้องมีสำหรับวิธีนี้ คือ ความเชื่อมั่น และอดทน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อความสำเร็จ สำหรับผู้ที่อยากเรียนอย่างคุ้มค่า ... โดยไม่พึ่งพาวิชาเสริม หละก็ วิธีนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะครับ ถ้าต้องการสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีดังกล่าว ติดต่อได้ที่ sc-physics@hotmail.com ทุกความคิดเห็น ถือเป็นหนึ่งวิธีในการแก้ปัญหา เราไม่สามารถหาวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดได้เลย ถ้ายังไม่รู้ทุกวิธีที่จะใช้แก้ปัญหา ซึ่งขอเป็นเพียงหนึ่งวิธีที่ช่วยในการแก้ปัญหาให้กับทุกคน .... |
#2
|
|||
|
|||
คนเรามีวิธีการเข้าถึงความรู้ได้แตกต่างกันครับ
การอ่านคงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการศึกษาหาความรู้แต่ไม่ทั้งหมด บางคนอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจก็ต้องหันไปใช้วิธีอื่นเช่นการฟังผู้อื่นอธิบาย บางคนอ่านหนังสืออย่างเดียวไม่เข้าใจต้องฟังเพลงไปด้วยก็มี บางครั้งอ่านอย่างเดียวไม่เข้าใจก็ต้องเขียนตามด้วย(โดยเฉพาะคณิตศาสตร์) บางคนอ่านหนังสือไปเดาะลูกบาสไปก็ยังมี มันเป็นธรรมชาติของแต่ละคนครับว่าถนัดในการศึกษาหาความรู้แบบไหน ถ้าพูดถึงปริมาณของความรู้ที่ได้รับผมเรียงลำดับจากมากไปน้อยไว้อย่างนี้ครับ 1. การสอน อันนี้รวมถึงการสนทนาเรื่องที่สนใจกับผู้อื่นด้วย 2. การอ่าน 3. การฟัง เช่น การฟังบรรยายจากอาจารย์ ผมมีรุ่นน้องคนหนึ่งตอนเรียนเขาติด $F$ วิชาแคลคูลัส เจอกันหลังจากเขาเรียนจบ ถามเขาว่าทำงานอะไร เขาบอกเป็นอาจารย์ สอนวิชาแคลคูลัส!!
__________________
site:mathcenter.net คำค้น |
#3
|
||||
|
||||
ผมก็ลองพยายามทำแบบนั้นอยู่
ความจริงที่ทำเพราะ ฐิถิ ซะส่วนใหญ่ คือตอนขึ้นม.ปลาย มีคนบอกผมว่าผมจะต้องไปเรียน tutor (หมายถึงพวกกวดวิชาที่คนสวนใหญ่ลงคอร์สเรียนกัน) แน่ๆเลยไม่งั้นคงไม่รอด เท่านั้นแหละ ฐิถิ พุ่งเลย ==" ก็เลยว่าจะอ่านเอง + เรียนเฉพาะของที่ รร. จัดให้เรียน คือผมคิดว่าถ้าจัดตารางเวลาให้สมดุลก็น่าจะพอไหวอยู่ ผลเท่าที่ผ่านมาก็ดีนะครับ ไม่มีปัญหา แต่อนาคตตอนเอนท์ก็ยังไม่แน่ว่าจะสู้เขาได้หรือป่าว ปล แต่ในใจลึกๆก็กลัวเหมือนกันว่าจะตามเพื่อนไม่ทัน แต่ก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้
__________________
เหนือฟ้ายังมีฟ้าแต่เหนือข้าต้องไม่มีใคร ปีกขี้ผื้งของปลอมงั้นสินะ ...โลกนี้โหดร้ายจริงๆ มันให้ความสุขกับเรา แล้วสุดท้าย มันก็เอาคืนไป... |
#4
|
||||
|
||||
ตอนนี้ผมก็เป็นเด็ก ม.5 แล้ว ได้เห็นสิ่งแวดล้อมรอบตัวผมขณะนี้แล้วรู้สึกแป่งๆ (ผิดก็ไม่ใช่ ถูกก็ไม่เชิง)ครับ
เพื่อนๆของผมประมาณ 20 คนขึ้นไป (จาก 29) จะมีตารางเรียนพิเศษกันทุกคน งบประมาณที่ใช้ไปในเทอมนี้ก็ไม่ต่ำกว่าท่านละ 20000 บาท นั่งวิเคราะห์คุณสมบัติของสถาบันกวดวิชาแต่ละแห่งกันยังกะจะแทงบอล (ใช้หลักเกณฑ์และเหตุผลพอๆกับการเลือกคณะเลยมั้งครับ แต่ความจริงจังนั้นฟ้ากับเหว) ตัวอย่าง ค่าเรียนพิเศษที่ได้ยินมาตอนเย็น - เคมีอินทรีย์ 1400 (ม.6) , ไฟฟ้าเคมี 2400 (ม.5) (อาจสลับ) ตัวอย่าง ค่าตำราหนังสือ (เอกสารประกอบการสอนวิชาเคมีก็ไม่ขี้เหร่นะครับ) - เคมี ม.5 , ม.6 สำนักพิมพ์ mac เล่มละ 95 บาท ปล. ซึ่งผมนี่ก็โชคดีครับที่อาจารย์วิทยาศาสตร์ที่สอนผมนั้นทุ่มเทกับการสอน(บางท่านก็ชวนไมเกรนขึ้น) ซ้ำยังชักชวนให้นักเรียนเข้าหาคุณครู ผมว่าที่มีอยู่ตอนนี้ก็เกินพอแล้วครับ
__________________
เวลาที่เหลืออยู่มีวิธีการใช้สองแบบ คือ ทางที่เรียบง่ายไม่มีอะไร กับอีกทาง ที่ทุกอย่างล้วนมหัศจรรย์ |
#5
|
||||
|
||||
ดูหัวข้อแล้วเข้าใจแบบหนึ่ง อ่านแล้วทำให้เข้าใจอีกแบบหนึ่ง เพราะคำว่้า วิชาเสริม นี่เอง
ผมให้อีกแง่มุมหนึ่งแต่โดยหลักแล้วคงไม่ต่างกับคุณ nooonuii เท่าไร การเรียนรู้หรือการหาความรู้นั้นโดยความเห็นส่วนตัวผมว่าอย่าไปจำกัดวิธีการครับ เพราะเหมือนนั่งสมาธิขึ้นอยู่กับจริตของคน คนบางคนอ่านเองไม่ได้ครับ เรื่องบางเรื่องต้องใช้องค์ความรู้ที่แน่นและมากพอ ทฤษฎีหลายทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์หรือนักคณิตศาสตร์ มิใช่ว่าอยากอ่านหรืออยากรู้แล้วจะรู้ได้หรืออ่านแล้วเข้าใจได้ครับ ไม่ง่ายอย่างที่คิด แน่นอนการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ต้องไม่ปฏิเสธที่จะให้คนอื่นช่วย ส่วนเรื่องทัศนคติว่าเรียนพิเศษแล้วดีหรือมั้ย อันนี้ต้องมองหลายมิติมีโอกาสแล้วจะร่วมแสดงความเห็นอีกกระทู้ครับ ส่วนเรื่องที่การศึกษาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือภาคบังคับ 30% และเรียนรู้เองหรืออ่านเองอีก 70% ผมเกรงว่าจะไขว้เขว่ ไปทุมเทกับการเรียนรู้ด้วยตนเองเดี๋ยวจะยุ่ง การศึกษาภาคบังคับ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เลวร้าย เมื่อก่อนการศึกษาภาคบังคับ เด็กทุกคนต้องจบ ป.7 ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นภาคบังคับ 12 ปี คือ ม.6 สาเหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะพบว่าประเทศใดที่พลเมืองมีการศึกษาสูงปัญหาเศรษฐกิฐ ปัญหาสังคมจะลดน้อยลง ดังนั้นการบังคับไม่ใช่เป็นสิ่งที่เลวร้ายเสมอไป เหมือนตอนเด็ก ถ้าเราไม่กินข้าวเอาแต่กินขนม พ่อแม่ก็บังคับเราเหมือนกันทั้งๆที่เราไม่ชอบ ผมอยากจะบอกว่าการอ่านหนังสือด้วยตนเองก็มีข้อเสียอยู่หลายอย่าง แม้ว่าจะจับประเด็น หรือสรุปเรื่องราวได้ แต่มันก็ยังอยู่ในกรอบของหนังสือการแลกเปลี่ยนทางด้านวิชาการหรือองค์ความรู้ไม่เกิด ก็เหมือนกับการแสดงความคิดเห็นในกระทู้ก็เช่นกัน ก็จะเกิดความหลากหลาย ส่วนจะถูกจะผิด หรือจะชอบไม่ชอบ คนอ่านจะเป็นผู้ตัดสิน ผมมีคนรู้จักคนหนึ่งแต่ไม่ใช่คนเดียวกับคุณ nooonuii ตอนเรียนก็ได้ F วิชาแคลคูลัส แต่ตอนนี้เป็นอาจารย์สอนวิชา แคลคูลัส กับ สมการอนุพันธ์ ซะด้วย แถมมีดีกรีเป็น ด๊อกเตอร์ มีผลงานทางวิชาการเป็นถึง รศ. ด้วยครับ แต่คนนี้คุณ nooonuii อาจรู้จักก็ได้ |
#6
|
||||
|
||||
ผมเข้าใจหลักการศึกษานะครับว่า มันมีหลายวิธี แต่คุณลองนึกถึงคนที่เขาเข้าไม่ถึงวิธีที่ต้องไปกวดวิชาดูสิ
ลองนึกถึงคนที่เขาไม่มีโอกาส นี่คือวิธีที่ประหยัดที่สุด และเป็นวิธีที่เข้าถึงความรู้ได้มากที่สุด เพราะตอนนี้ สำหรับวิชาที่เกี่ยวข้องกับ การศึกษาระดับมัธยม หรือระดับมหาวิทยาลัย มีหนังสือภาษาไทยดี ๆ หลายเล่ม ที่พิมพ์ออกมา เนื้อหาผมว่าละเอียดกว่าสอนด้วยซ้ำไป และผมขอยกตัวอย่างบุคคลหนึ่งที่เป็นผู้ทรงความรู้ผู้หนึ่ง รอบรู้หลายด้านและท่านสามารถนำความรู้ต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม นั้นคือ ท่านพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ท่านเป็นผู้รักการอ่านมาก ๆ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านได้มาล้วนมาจากการอ่านทั้งสิ้น แล้วอย่างนี้การอ่านมีผลเสียตรงไหน ถ้าคุณอ่านไม่เข้าใจก็ต้องหาหนังสือมาอ่านประกอบหลายเล่มสิ เป็นการฝึกอ่านไปในตัวด้วย นี่สิเป็นทางเลือกหนึ่งที่ผมถือว่าดีที่สุด สำหรับการศึกษา คือ หาความรู้ด้วยตนเองโดยการอ่าน และเป็นข้อได้เปรียบสำหรับ คนที่ไม่มีโอกาสต้องไปเรียนพิเศษ นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งทีได้จากการอ่านหนังสือ คือ การรู้จักช่วยตนเอง และการรู้จักหาความรู้ด้วยตนเอง ยิ่งคุณอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ โลกแห่งการเรียนรู้ของคุณจะมีมากกว่าผู้อื่น |
#7
|
||||
|
||||
ผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณหยินหยางนะครับ
ถ้าเอาแต่อ่านเองโดยไม่ได้ดูว่าคนอื่นเขาเรียนอะไรกันแบบไหนก็แย่เหมือนกันนะ สำหรับผม มีคนรู้จักสอนอยู่ที่ tutor แห่งหนึ่ง เขาใจดีมากเลย แบ่งหนังสือที่สถาบันกวดวิชาที่เขาสอนให้ผมด้วย ตอนอยู่ที่โรงเรียนก็ต้องคอยดูเหมือนกันนะครับว่าเพื่อนๆเรียนกันยังไงบ้าง ต้องคอยคุยกันๆ
__________________
เหนือฟ้ายังมีฟ้าแต่เหนือข้าต้องไม่มีใคร ปีกขี้ผื้งของปลอมงั้นสินะ ...โลกนี้โหดร้ายจริงๆ มันให้ความสุขกับเรา แล้วสุดท้าย มันก็เอาคืนไป... 03 พฤศจิกายน 2010 20:02 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ LightLucifer |
#8
|
|||
|
|||
อ่านน่ะต้องอ่านอยู่แล้วล่ะครับ เพราะความรู้ส่วนใหญ่มันบรรจุไว้ในหนังสือ
แต่ที่แสดงความคิดเห็นกันมานี่ส่วนใหญ่มองข้ามเรื่องการอ่านไปแล้ว แต่พยายามเสนอว่าทำอย่างไรถึงจะได้ความรู้มากที่สุด การอ่านเพียงอย่างเดียวก็แค่รู้ตามที่ผู้เขียนหนังสืออยากให้เรารู้ ต้องอ่านหนังสือหลายๆเล่มจึงจะรู้กว้างขึ้น แต่ความรู้บางอย่างมันไม่มีในหนังสือ บางคนที่เก่งมากๆเขาจะมีความรู้ติดตัวที่ไม่ได้เผยแพร่เยอะแยะ เราก็ควรหาทางไปเรียนรู้จากคนเหล่านี้บ้าง เพื่อความรู้ของเราจะได้เพิ่มพูนมากขึ้น ผมว่าตรงส่วนนี้แหละที่เด็กต่างจังหวัดยังขาดอยู่มาก ส่วนเรื่องการสอนที่ผมเสนอไว้นั้นผมได้แนวคิดมาจากรุ่นน้องที่ผมเล่าให้ฟัง เพียงแค่เขาเปลี่ยนสถานะตัวเองจากผู้ศึกษามาเป็นผู้สอนทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่ว่าเขาสอนวิชาแคลคูลัสไม่ได้ หรือ สอนแบบขอไปทีเพราะเคยเรียนได้เกรด F มาก่อน แต่เขาบอกผมว่าหลังจากเป็นอาจารย์เขาเข้าใจวิชาแคลคูลัสมากขึ้น ผมก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาไม่เข้าใจเนื้อหาวิชาแคลคูลัสเลย แต่มันเป็นเพราะวิธีการแสวงหาความรู้ของเขาหรือเปล่า บางทีนั่งอ่านอย่างเดียวมันก็ไม่ได้อะไรเข้าหัวเลย แต่พอต้องสอนผู้อื่นเขากลับทำได้ดีขึ้น อาจจะเพราะปัจจัยหลายอย่างทำให้เขาต้องเตรียมตัวมากขึ้น ต้องอ่านมากขึ้น และเขาอาจจะใช้เวลาในการเข้าถึงความรู้มากขึ้นด้วย ผมก็เลยเก็บมาคิดต่อว่าในเมื่อทำอย่างนี้แล้วได้ผล ทำไมเราไม่ให้เด็กนักเรียนลองทำบ้าง ลองเปลี่ยนบทบาทของตัวเองดูบ้างไหม เปลี่ยนจากผู้ศึกษาอย่างเดียวมาเป็นผู้สอนดูบ้าง การสอนที่ว่านี้จริงๆแล้ว ผมต้องการให้เป็นการสนทนาความรู้กับผู้อื่นมากกว่า เช่น เด็กๆอาจจะจับกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วก็พยายามติวเรื่องที่ตัวเองถนัดให้กับเพื่อนในกลุ่ม คนนึงเก่งอย่างหนึ่ง อีกคนเก่งอีกอย่าง เมื่อมานั่งคุยกันทุกคนก็จะได้ความรู้ในส่วนที่ตัวเองไม่ถนัดด้วย อย่างนี้เป็นต้น
__________________
site:mathcenter.net คำค้น |
#9
|
|||
|
|||
วิธีที่คุณ Nooonuii แนะนำ เป็นวิธีเีรียนรู้ที่ดีที่สุด
ในสถาบันชั้นนำของโลก เช่น NASA ใช้วิธีนี้ในการพัฒนางานวิจัยครับ แล้วโรงเรียนในเมืองไทยเริ่มใช้วิธีนี้ในการเรียนการสอน ส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนทางเลือกที่เริ่มทำตรงนี้ แต่วิธีนี้เด็กต้องขยันพอสมควร เพราะก่อนจะจับกลุ่มติวได้ ก็ต้องศึกษาโดยการอ่านเองมาระัดับหนึ่งครับ |
#10
|
||||
|
||||
ที่ผมเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ก็เพราะอ่านหัวข้อกระทู้ และความเห็นแรกแล้วทำให้เข้าใจได้ว่าการเรียนที่คุ้มค่าก็คือการศึกษาด้วยการอ่านหนังสือเป็นหลัก และมองการเรียนกวดวิชาเป็นสิ่งที่เลวร้ายไปซะหมด และตอนท้ายของความเห็นแรกก็เปิดโอกาสให้คนอื่นร่วมแสดงความเห็น ผมก็เลยแสดงความเห็น โดยไม่ได้มีเจตนาจะโต้แย้งอะไร เพียงอยากจะบอกแนวคิดอีกมุมหนึ่งให้เห็น จึงอยากจะให้เข้าใจตรงนี้ก่อนครับ
คือผมไม่ได้ปฏิเสธการอ่านหนังสือนะครับ และผมก็เข้าใจว่าการอ่านหนังสือมากๆเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้องทำให้โลกทรรศน์กว้าง เพียงอยากจะให้เห็นว่าอ่านหนังสืออย่างเดียวไม่พอ และอาจไม่คุ้มค่าเหมือนกับกระทู้ที่ว่า ทำไมถึงบอกอย่างนั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากหลายต่อหลายคนที่สัมผัส หรือ อย่างสมาชิกในกระทู้นี้หลายท่านก็เคยบอกว่าหนังสือบางเล่มเขียนผิด ทำให้เค้าได้คะแนน 0 บ้างตอนสอบ บางเล่มเขียนหลักคิดผิดบ้าง เป็นต้น หรือบางท่านอ่านเรื่องนี้อยู่หลายรอบหาตำราอ่านหลายเล่มแล้วก็ยังไม่เข้าใจ พอนำมาถามในกระทู้นี้มีผู้รู้ตอบให้อย่างกระจ่าง ถึงกับออกปากว่าน่ามาถามตั้งนาน จะเห็นว่าถ้าเปลี่ยนจากการอ่านหนังสืออย่างเดียวมาเป็นหาคนอื่นถาม เวลาก็จะสั้นลงไปมากอย่างนี้พอเรียกว่าคุ้มค่าได้มั้ย (เพราะถ้าไปอ่านและทำความเข้าใจอาจใช้เวลาเป็นปีหรือชั่วชีวิตก็ได้หรืออาจต้องเสียเงินซื้อหนังสืออีกหลายเล่มก็ได้) คือผมไม่อยากให้ไปตีกรอบว่าอ่านหนังสือหรือศึกษาด้วยตัวเองเป็นทางเลือกที่ดีและคุ้มค้าที่สุด ก่อนที่จะมีภาษาคนสมัยก่อนก็เรียนรู้จากการสังเกต จากธรรมชาติบ้าง จากการลองผิดลองถูกบ้าง และเมื่อมีภาษาเกิดขึ้นความรู้ที่ได้มาก็อยากถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังเพื่อให้ไม่ต้องนับหนึ่งใหม่ อะไรที่เป็นปัญหาหรือข้อคาดการณ์ก็ทิ้งไว้ให้พิสูจน์ เป็นต้น จะเห็ว่าความรู้เริ่มแรกก็ไม่ได้มาจากการอ่านหนังสือ และจุดประสงค์ก็ไม่ได้ให้หาความรู้จากการอ่านหนังสืออย่างเดียว การสอนหนังสือ การพูดคุยหรือแม้แต่การตอบกระทู้นี้ก็เป็นการเรียนรู้ได้อีกแบบหนึ่ง คืออย่าเพิ่งไปมองว่าการหาความรู้มีเพียงแค่ 2 วิธีคืออ่านหนังสือกับการเรียนพิเศษ (ผมไม่ได้หมายความว่าเรียนพิเศษไม่ดีหรือดีนะครับ มันขึ้นอยู่กับหลายอย่างครับ) การสอนคนก็เป็นการหาความรู้ก็ได้ แต่ผมให้อีกมุมหนึ่งซึ่งต่างคุณ nooonuii คือไม่ใช่แค่เตรียมเพื่อให้ความรู้แน่น ถ้าได้มีโอกาสสอนคนเก่งเมื่อไร การเรียนรู้ซึ่งกันและกันเกิดขึ้นแน่นอน หลายต่อหลายครั้งผมได้ความรู้เพิ่มจากสิ่งที่คนอื่นถาม มุมมองที่คนอื่นมองเพียงแต่ผมอาจมีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมากกว่าจึงทำให้สามารถให้หลักคิดหรือตรรกะของเรื่องนั้น แต่ก็ไม่เสมอไป และผมก็ไม่รู้สึกเสียหน้าด้วยที่ตอบไม่ได้ในบ้างครั้ง เพราะผมถือคติที่ว่า คนฉลาดแกล้งโง่ได้ แต่คนโง่แกล้งฉลาดไม่ได้ ผมพอเข้าใจทัศนคติเกี่ยวกับการเรียนพิเศษของเจ้าของกระทู้ระดับหนึ่ง และการขาดโอกาสของคนจนหรือคนต่างจังหวัดที่ไม่สามารถเข้าถึง ประกอบกับระบบการศึกษาที่ยังหาทิศทางไม่ได้แถมอ่อนแออีกต่างหาก (ถ้าจะพูดถึงปัญหาพวกที่ว่านี้ก็ยาวครับ) ขอเพียงไม่ย้อท้อก็ยิ่งใหญ่ได้ครับ อย่างเหมาเจอตุงสมัยเด็กจนมากแต่ก็มุมานะจนได้เป็นเบอร์หนึ่งของจีนหรืออย่างอันจินเผิงที่มีครอบครัวที่จนมาก แต่ก็สามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกคณิตศาสตร์ ปี1997 ได้ เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้นครับ |
#11
|
|||
|
|||
เท่าที่อ่านมารู้สึกว่าจะมีผู้ที่ทำงานในหน่วยงานการศึกษากันเยอะนะครับ
แล้วจะไม่มีใครที่สามารถปรับปรุงคุณภาพการศึกษาได้เลยหรือครับ ผมเห็นคุณอาหยินหยาง เรียกการสอบ pat ว่า pum pum per per and ... มาอ่านกระทู้นี้ เลยมั่นใจว่าคุณอาหยินหยางน่าจะทำงานในระบบการศึกษา แล้วคุณอาหยินหยางจะไม่สามารถผลักดันอะไรที่เป็นประโยชน์ได้มากกว่านี้หรือครับ |
#12
|
||||
|
||||
ปกติคนเราสามารถเรียนรู้ได้จากวิธีการต่างๆ ประมาณ 5 วิธี
1. เรียนรู้จาก การได้เห็น, ได้รับฟัง 2. เรียนรู้จาก การอ่านตำรา หรือการศึกษาภาคทฤษฎืด้วยตนเอง 3. เรียนรู้จาก การทดลองทำ หรือการศึกษาภาคปฏิบัติ 4. เรียนรู้จาก การแสดงความรู้ให้แก่ผู้อื่น จนพบจุดที่เป็นปมของเรา 5. เรียนรู้จาก การคิดเชื่อมโยง และสอบถามผู้รู้ในยามจนตรอก แปลงมาจาก เหตุแห่งการบรรลุธรรม อยู่ในพระไตรปิฎก(เล่มไหนก็ไม่รู้-จำไม่ได้แล้ว) ปล. คุณอาหยินหยาง ทำงาน(ส่ง)อยู่ในระบบการศึกษาจริงครับ แต่น่าเป็นฝั่งของผู้เรียนครับ |
#13
|
|||
|
|||
การทำ dialog
หลังจากอ่านแล้ว มาจับกลุ่มคุยกัน ตั้งคำถามต่อยอดจากสิ่งที่อ่าน ในกลุ่มต้องมีคนที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งร่วมคุยและให้คำแนะนำ โดยคนที่รู้เยอะต้องใจกว้างและมีเมตตา นำโจทย์หรือแบบฝึกหัด มาร่วมกันคิดร่วมกันทำ เป็นวิธีการศึกษาที่ดีที่สุด ทุกวันนี้การศึกษาไทยส่วนใหญ่เป็นการสื่อสารทางเดียว คือ ครูบอกความรู้ให้นักเรียน การศึกษาแบบนี้จะไม่ได้ผล |
|
|