Mathcenter Forum  

Go Back   Mathcenter Forum > คลายเครียด > ฟรีสไตล์
สมัครสมาชิก คู่มือการใช้ รายชื่อสมาชิก ปฏิทิน ข้อความวันนี้

ตั้งหัวข้อใหม่ Reply
 
เครื่องมือของหัวข้อ ค้นหาในหัวข้อนี้
  #1  
Old 06 ตุลาคม 2009, 20:39
Pakpoom Pakpoom ไม่อยู่ในระบบ
กระบี่ประสานใจ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 06 เมษายน 2009
ข้อความ: 616
Pakpoom is on a distinguished road
Default คุณเข้าใจในภาพยนต์เรื่อง "รักแห่งสยาม" มากน้อยเพียงใด

คุณเคยสงสัยไหมว่า เพราะอะไร ตัวละครใน ‘รักแห่งสยาม’
ถึงต้องเป็นคาทอลิกและเป็นเกย์
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : หลายปีก่อน เมื่อไปไอร์แลนด์ ผมเคยถามคุณป้าคนหนึ่ง หลังแก้วเหล้าว่า ไอร์แลนด์ซึ่งเป็นดินแดนแห่งคาทอลิกนั้นมีเกย์ไหม และมีการรวมตัวกันของกลุ่มเกย์คาทอลิกเหมือนที่ออสเตรเลียบ้างไหม คุณป้าแทบจะทำหน้าผีหลอกใส่ผม แล้วบอกผมว่า คำสองคำนี้เอารวมกันไม่ได้ เพราะมันไม่ ‘เมคเซนส์’ เอาเสียเลย เกย์กับคาทอลิก มันจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร
ถ้าคุณเลือกที่จะเป็นเกย์ คุณก็ต้องไม่เป็นคาทอลิก
แต่ถ้าคุณจะเป็นคาทอลิก คุณก็ต้องไม่เป็นเกย์
ผมพลันนึกขึ้นได้ ณ บัดดลว่า ถ้าคุณเป็นคาทอลิกอย่างเคร่งครัด ที่เดียวที่ผู้ชายจะหลั่งน้ำอสุจิใส่ได้ ก็คือในช่องคลอดของภรรยาที่ ‘รับศีลสมรส’ หรือผ่านการแต่งงานกันมาอย่างถูกต้องตามพิธีต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าแล้วเท่า นั้น แม้แต่การทำอัตกามกิริยาหรือใส่ถุงยางยังถือว่าผิดเลย สำมะหาอะไรกับการหลั่งน้ำอสุจิใส่ปากหรือทวารหนักของผู้ชายด้วยกัน ซึ่งแม้โดยมาตรฐานของสังคมรักต่างเพศทั่วไปก็ยังเห็นว่าเป็น Bad Sex
ด้วยเหตุนี้ สำหรับผม การที่ตัวละครใน ‘รักแห่งสยาม’ เป็นคาทอลิก และเป็นเกย์คาทอลิกด้วย จึงเป็นประเด็นที่ท้าทาย ตื่นเต้น และน่าพูดถึงมากที่สุด เพราะนี่คือหนังไทยเรื่องแรกที่วิพากษ์ความเป็นคาทอลิก ที่มีการควบคุมทางเพศอย่างเคร่งครัด เป็นประเด็นที่ไม่มีใครพูดถึง ………..แต่ผมคิดว่าเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดของหนัง
1.คริสต์มาสและซานตาคลอส
ทำไมเรื่องคาทอลิกถึงเป็นประเด็นสำคัญที่สุดหรือครับ คำตอบง่ายๆ อยู่ที่ผู้กำกับ ‘จงใจ’ จะทำประเด็นนี้ให้ ‘ดูเหมือน’ เป็นเรื่องที่ ‘พลาด’ ที่สุด และตอนแรกผมก็เกือบจะงับกับดักนี้เข้าให้แล้ว เพราะถ้าดูเผินๆ เราสามารถ ‘ตัด’ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคาทอลิกออกไปได้ทั้งหมด เด็กสองคนไม่จำเป็นต้องมาเจอกันในโรงเรียนก็ได้ เพราะบ้านอยู่ใกล้กันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเกิดเรื่องใหญ่ ตอนคริสต์มาส ไม่จำเป็นต้องมีฉากเล่นละครตอนพระกุมารประสูติ ไม่จำเป็นที่จะต้องสวดก่อนอาหาร และยิ่งไม่จำเป็นเลยที่ต้องให้มิวไปร้องเพลงในคอนเสิร์ตวันคริสต์มาส การใส่ฉากเหล่านี้เข้ามาแทบจะทำให้หนังมีกลิ่นอายเมโลดราม่า
ของซีรีส์ฝรั่งดาษดื่น………ที่ทำกันทุกปลายปีไม่มีผิดเพี้ยน
แต่แล้ว ด้วยความละเอียดในแง่มุมอื่นๆ ของผู้กำกับ (เช่น เรื่องการใช้สี การใช้สัญลักษณ์ผ่านตุ๊กตา ความพิถีพิถันในการแสดง ฯลฯ) ก็ได้ทำให้ผมรู้สึกว่า ยิ่งผู้กำกับใส่เรื่องที่ดู
‘ไม่จำเป็น’ เข้าไปมากเท่าไร กลับยิ่งสะท้อนให้เห็นว่ามันเป็นเรื่อง ‘จำเป็น’ มากเท่านั้น
การใส่ประเด็นคาทอลิกลงไปในหนัง โดยดูเหมือนไม่จำเป็นตอกย้ำให้คนดูรู้ว่า นี่คือหนังที่ผู้กำกับจงใจจะวิพากษ์ความเป็นคริสต์ และเน้นย้ำลึกลงไปถึงคริสต์แบบคาทอลิกโดยเฉพาะ!
ตอนเด็กๆ ผมเชื่อว่า มิวกับโต้ง เรียนอยู่ในโรงเรียนคาทอลิก อาม่าของมิวนั้นอาจไม่ใช่คาทอลิก แต่เป็นคนจีนที่มีฐานะร่ำรวยและได้รับอิทธิพลจากตะวันตกอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นลวดลายวอลล์เปเปอร์ในบ้านหรือการเล่นเปียโน เผลอๆ อากงหรือสามีของอาม่าอาจจะเป็นคาทอลิกก็ได้ แต่หนังไม่ได้กล่าวถึงอย่างชัดเจน เพียงแต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ทว่าทั้งหมดคือการปูพื้นฐานให้เห็นเหตุผล ที่มิวเข้าไปเรียนในโรงเรียนคาทอลิก
โดยอาจจะเป็นหรือไม่เป็นคาทอลิกก็ได้
ส่วนโต้งนั้น การอยู่ในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัดทำให้ที่บ้านต้องส่งเขาเข้าเรียนใน โรงเรียนคาทอลิกอยู่แล้วคล้ายเป็นไฟลต์บังคับ ถ้าถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าครอบครัวของโต้งเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด คำตอบอยู่ที่การสวดก่อนอาหาร ซึ่งปัจจุบันคาทอลิกส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติ ยกเว้นในครอบครัวที่เคร่งจริงๆ เท่านั้น
…..ความงามของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ตรงนี้…..
อยู่ตรงที่ผู้กำกับสร้างปม ‘ความขัดแย้ง’ ที่รุนแรงมากขึ้นมา แต่กลบเกลื่อนให้เหลืออยู่เพียงจางๆ อย่างแนบเนียน แฝงอยู่เฉพาะในบรรยากาศโดยไม่มีใครเอ่ยปากขึ้นมาตรงๆ ซึ่งนั่นทำให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสกับหัวใจของคนดูได้โดยไม่รู้ ตัว
โรงเรียนที่เด็กทั้งสองเข้าเรียน มีชื่อว่าเซนต์นิโคลัส ซึ่งชื่อก็บอกเต็มตัวอยู่แล้วว่าเป็นโรงเรียนคาทอลิก โรงเรียนเซนต์นิโคลัสจึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ผมเข้าใจว่าไม่น่าจะมีโรงเรียนชื่อนี้อยู่ในกรุงเทพฯ หรือถ้ามีก็ไม่น่าจะอยู่แถวๆ สยามสแควร์แน่ๆ โรงเรียนนี้จึงเป็นสถานที่สมมติที่ซ้อนอยู่กับสถานที่จริงอย่างสยามสแควร์
และเป็นความจงใจที่ใส่เข้ามาเพื่อให้ผู้ชมสะดุดอย่างชัดเจน
ทำไมต้องเป็นเซนต์นิโคลัส ?
เซนต์นิโคลัสนั้น ที่จริงแล้วเป็นชื่อจริงของ ‘ซานตาคลอส’ ยังไงล่ะครับ
สำหรับคนไทย ซานตาคลอสคือสัญลักษณ์ของคริสต์มาส
ขณะที่คริสต์มาสเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์!
ครอบครัวของโต้งส่งโต้งเข้าเรียนในโรงเรียนเซนต์นิโคลัส ก็แปลว่าเขาต้องการให้ลูกได้รับการอบรมกล่อมเกลาในแบบคาทอลิกแท้ๆ ที่ต้องมีการเรียนคำสอนทุกวันมาตั้งแต่เด็ก
นั่นขยายความให้ลึกขึ้นได้ว่า โต้งเองก็ต้องมี ‘ราก’ แบบคาทอลิก
ที่จะมากจะน้อยก็เชื่อในพระเจ้าและมี ‘ความกลัว’ บางแบบฝังอยู่ในหัวใจ
เหมือนที่ชาวยิวกลัวพระเจ้าจะลงโทษถ้าทำผิด และนั่นส่งผลสะเทือน
มาถึงตอนจบของเรื่อง-ตอนจบ……ที่คนดูบอกว่าเศร้าเหลือเกินนั่นแหละครับ
อย่างไรก็ดี การหายตัวไปของแตง-พี่สาวของโต้ง ทำให้ครอบครัวของโต้งเจ็บปวดจนต้องย้ายที่อยู่ เขาจึงถูกพรากไป ไม่ใช่พรากไปจากมิว แต่พรากไปจากโรงเรียนเซนต์นิโคลัส
ซึ่งก็คือการพรากไปจากความเชื่อมั่นศรัทธาในแบบคริสตชน เรื่องนี้จะเห็นได้จากการที่ครอบครัวของโต้งไม่สวดก่อนอาหารอีกต่อไป การหายตัวไปของแตงทำให้ทั้งพ่อและแม่ (โดยเฉพาะพ่อ) ไม่เหลือศรัทธาในพระเจ้าและศาสนจักรอีก
เมื่อเราได้พบกับโต้งอีกครั้งในตอนโต เขาจึงเรียนอยู่ในโรงเรียนอะไรสักอย่าง
ที่ผมเชื่อว่าไม่ใช่โรงเรียนคาทอลิก โดยดูจากชุดนักเรียนกางเกงสีดำ
(ซึ่ง โดยทั่วไปจะเป็นโรงเรียนรัฐบาล) สะท้อนให้เห็นถึงศรัทธาในศาสนาที่ครอบครัวนี้สูญเสียไปซ้ำอีกครั้ง โต้งจึงสามารถเรียนโรงเรียนอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงเรียนคาทอลิก
แต่มิว (ซึ่งไม่น่าจะใช่คาทอลิก) ยังเรียนอยู่ที่เซนต์นิโคลัส ปลูกฝังและเติบโตขึ้นมากับดนตรีที่เขารักและได้รับการถ่ายทอดมาจากอาม่า
โดยสัญลักษณ์แล้ว เขาจึงยังอยู่กับความเป็นคาทอลิก ไม่ว่าจะเป็นคาทอลิกหรือไม่ก็ตาม
2.ความรักและคาทอลิก
เมื่อความรักถือกำเนิดขึ้น เด็กชายทั้งคู่เลือกเดินตามมันไป สำหรับชาวคริสต์ แก่นสำคัญของศาสนาก็คือความรัก ดังนั้น เมื่อเด็กผู้ชายทั้งสองรักกัน จึงไม่น่าจะมีอะไรเป็นอุปสรรค
แต่ที่จริง ความเป็นคาทอลิกเอง กลับกลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญในความรักของคนทั้งสอง แน่นอนว่า ย่อมมีความจริงอยู่ในความรักตั้งมากมาย แต่กรอบใหญ่ของชีวิตบางกรอบก็พยายามขีดเส้นกั้น ให้ความจริงบางอย่างเหนือกว่าบางอย่าง
ความรักจึงมักถูกตีวงให้ต้องจำกัดตัวเองตามไปด้วย
สำหรับโต้ง ครั้งหนึ่งคริสต์มาสเคยหมายถึงการสิ้นสุด เขาเล่นละครเป็นลูกแกะอยู่บนเวที แต่แล้วเขาก็ต้องถูกบังคับให้พรากจากนายชุมพาบาลของตัวเองไป
เขาต้องจากโรงเรียน จากเซนต์นิโคลัส จากเพื่อน
และจากแม้กระทั่งความรักความอบอุ่นของครอบครัวตัวเองไปในวันคริสต์มาสนั้น
จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่โต้งจะไม่ตื่นเต้นยินดีอะไรนักกับการจัดต้นคริสต์มาสของแม่
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังพกเอาความเป็นคาทอลิกเอาไว้ในตัว
เต็มเปี่ยมเหมือนต้นไม้ที่ฝังรากลึกอยู่ในดิน
และแล้ว คริสต์มาสอีกครั้งหนึ่งก็ได้ทำให้เขาต้องตัดสินใจ
คริสต์มาสที่พกเอาความเป็นคาทอลิกไว้ในตัวเต็มเปี่ยม ไม่เพียงเคยทำให้ใครบางคนหล่นหายไปจากชีวิตของเขา แต่ความเป็นคาทอลิกยังรั้งเขาไว้
ไม่ให้ย้อนกลับไปสานสัมพันธ์กับคนคนนั้นต่ออีกด้วย
หลายคนคาใจว่า เหตุใดเมื่อแม่ของโต้งอนุญาตกลายๆ แล้วว่าให้เขาเลือกสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด เขาจึงยังไม่เลือกที่จะคบกับมิวในฐานะแฟนอีก
ผมคิดว่าประโยคสั้นๆ ที่โต้งบอกมิวในตอนท้ายว่า-
เขาไม่อาจคบมิวในฐานะแฟนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักมิว-
นั้น เป็นประโยคที่สรุปความเป็นเกย์คาทอลิก
เอาไว้ได้ชัดเจนหมดจดที่สุด
ความเป็นคาทอลิกได้เอื้อมมือ ที่มองไม่เห็นเข้ามาเหนี่ยวรั้งความรักแบบเกย์ของโต้งเอาไว้ เขาจึงไม่อาจเดินต่อไปบนหนทางของความรักแบบนี้ได้ การเป็น ‘แฟน’ ของผู้ชายกับผู้ชายถือเป็นเรื่องผิดสำหรับคาทอลิก แต่โต้งก็ฉลาดพอที่จะบอกมิวว่า
ถึงจะมีเงื่อนไขนี้ค้ำคออยู่ แต่เขาก็ยังสามารถ ‘รัก’ มิวได้
มันเป็นการลดเลี้ยวเพื่อหลีกหนี ออกจากกรอบกั้นที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเด็กผู้ชายคาทอลิก
ที่รักกับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่ง สิ่งที่หนังได้ทำลงไป จึงเป็นการวิพากษ์ความขัดแย้ง
ในการตีความเรื่องความรักของศาสนจักรคาทอลิก…..อย่างแนบเนียนและแยบยล
มิวไม่ใช่คาทอลิก แต่มิวคือตัวแทนของ ‘ซานตาคลอส’
ผ่านการเป็นนักเรียนโรงเรียนเซนต์นิโคลัส
(เฮ้ย! ได้ข่าวว่า-ึงไปคบกับเด็กโรงเรียนเซนต์นิโคลัสเหรอวะ-เพื่อนของโต้งเคยถามอย่างนั้น)
ด้วยเหตุนี้ มิวจึงเป็นซานตาคลอสของโต้งมาโดยตลอด แม้มิวจะรับตุ๊กตาไม้ตัวนั้นมาจากโต้ง แต่มิวกลับคือผู้ให้ เป็นส่วนเติมเต็มของโต้ง
เป็นความชื่นชมยินดี…..ที่เหลืออยู่เพียงสิ่งเดียวในชีวิตของโต้ง
ถ้าคุณมองดูบ้านของโต้ง คุณจะพบบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์เพียงน้อยชิ้น
มัน คือบ้านที่แลดูรกร้างว่างเปล่าไม่ผิดอะไรกับจิตวิญญาณที่ว่างเปล่าของเด็ก วัยรุ่นคนหนึ่ง บ้านของโต้งดูมีฐานะร่ำรวย แต่ไม่เหลือความอบอุ่นอะไรอีกแล้ว
ขณะที่มิวอยู่คนเดียว แต่บ้านของมิวกลับแลดูอบอุ่นอย่างประหลาด ผ้าปูที่นอนสีเขียวดูมีชีวิต เช่นเดียวกับคีย์บอร์ดและเสียงเพลง รวมถึงรูปถ่ายที่เป็นร่องรอยความ อบอุ่นในอดีต เขายังได้สวัสดีอาม่าก่อนไปเรียน แม้อาม่าจะเหลือเพียงภาพถ่ายก็ตาม
แต่โต้งไม่มีสิ่งเหล่านี้ มันหายไปพร้อมกับแตง
คำถามก็คือ ระหว่างมิวกับโต้ง ใครเป็น ‘คาทอลิก’ มากกว่ากัน?
ถ้าดูจาก ‘ฟอร์ม’ หรือรูปแบบภายนอก แน่นอน-โต้งย่อมเป็นคาทอลิกมากกว่า
แม้เขาจะเรียนโรงเรียนรัฐบาล แต่ที่บ้านก็เป็นคาทอลิกแน่ๆ
แต่ถ้าดูจาก ‘สาระ’ ของชีวิตเล่า แม้มิวจะบอกว่าเหงา แต่ผมไม่รู้สึกเลยว่าเขาเหงา
เขามีเพื่อน มีจิตวิญญาณของผู้ชราที่ล่วงลับล่องลอยเป็น ‘เพื่อน’
(เหมือนที่อาม่าเรียกเขา) อยู่เสมอ ชีวิตของมิวจึงอบอวลด้วยความรัก
และความรักก็คือสาระที่แท้ของการเป็นคาทอลิก
จึงเหมาะสมแล้ว ที่มิวจะใส่เสื้อนักเรียนที่ปักอักษรย่อว่า ซ.น.ค.
เพราะเขาคือ….ซานตาคลอสของโต้ง
3.กรอบที่กักขัง
ในฉากโต้งกลับบ้านมานอน และสินจัยเปิดประตูห้องนอนของโต้งเข้ามาหลังตามหาลูกชายมาทั้งคืน เราจะเห็นโปสเตอร์บนหัวนอนของโต้งเป็นรูปไม้กางเขน มีถ้อยคำเขียนว่า
I Believe ซึ่งแปลว่า ฉันเชื่อ หรือฉันศรัทธา สีพื้นของโปสเตอร์นั้นมีสีเขียว
ซึ่งในหนังให้เป็นสีของมิว โดยนัยนี้ มิวและความเป็นคาทอลิก
จึงหลอมรวมเข้าหากันและกัน และวางตัวอยู่ใกล้ชิดกับโต้งมากกว่าที่ใครๆ คิด
ผู้กำกับใส่สัญลักษณ์ต่างๆ เข้ามาอย่างอ่อนโยน
เมื่อมองในด้านกลับ ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่าการโปรโมทหนังแบบจงใจ
ลวง โดยไม่ใส่เรื่องเกย์เข้ามาเลยนั้น น่าจะเป็นเสมือนการร้องขอความเข้าใจที่นุ่มนวลจากสังคมโฮโมโฟเบียมากกว่าการ จงใจหลอก เช่นกันกับการทำให้มิวมีความเป็นคาทอลิกอยู่ในตัวมากกว่าโต้ง ก็คือการสลับสาระกับรูปแบบ และการ ‘สลับ’ นี้ ก็ปรากฏอยู่ในเรื่องให้เห็นเป็นระยะ เช่น หน้าตาของมิวและโต้งในวัยเด็กกับวัยรุ่น คนที่อยู่กับโต้งตอนที่โต้งจะซื้อจมูกตุ๊กตาให้มิว (คือโดนัทกับหญิง) การสลับ ‘คุณค่า’ กับ ‘ราคา’ ที่แพงขึ้นผ่านกาลเวลาของตุ๊กตาตัวนั้น การสลับบทบาทในครอบครัวของสินจัยและทรงสิทธิ์
การที่มิวลุกขึ้นร้องเพลงบนเวทีทั้งที่บอกว่าร้องไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
การสอดใส่ ‘จมูก’ ของตุ๊กตาของเล่นที่ไม่พอดีในตอนจบ
และแม้แต่การทำให้ต้นคริสต์มาสในบ้านของโต้งมองดูสูงชะลูดคล้ายเป็น
phallic symbol ทั้งยังดูหดหู่ผิดจากต้นคริสต์มาสทั่วไป
การสลับสิ่งเหล่านี้ แง่หนึ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง บางครั้งเกือบจะฉูดฉาด
ทว่าผู้กำกับควบคุมไว้ได้ให้มันนวลเนียน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร
ผมรู้สึกคล้ายกับว่าหนังต้องการให้เรามองโลกใบเดิม
(เช่น ‘สยาม’ ซึ่งสุดแสนจะ Clich? ไม่ว่าจะหมายถึงสยามสแควร์หรือสยามประเทศ)
เสีย ใหม่ ด้วยการหยิบคุณค่าความหมายใหม่ๆ ใส่เข้ามา หรือถ้าหาคุณค่าความหมายใหม่ไม่ได้ในโลกใบที่ทุกอย่างซับซ้อนสับสนและไม่มี ใครค้นพบอะไรใหม่
ก็อาจทำเพียงมองมันสลับที่กันบ้างเท่านั้นเอง
เพียงเท่านั้น-บางครั้งก็อาจทำให้ชีวิตน่าอยู่มากขึ้น ไม่เปล่าดายจนเกินไป
และอาจมีความเหงาในหัวใจน้อยลง
บาง ทีเราก็ไม่อาจต่อกร กับกรอบใหญ่ๆ ในชีวิตได้ทั้งหมด มือที่มองไม่เห็นมักยื่นเข้ามาควบคุมเราอยู่เสมอ การสลับที่ของบทบาทและความหมายเหล่านี้ จึงเป็นการปฏิวัติเงียบต่อโครงสร้างใหญ่ที่กดทับเราอยู่
สำหรับผมหนังเรื่องนี้คือการตะโกนใส่หน้าศาสนจักรคาทอลิกว่า…ฉันจะรัก เพราะความรักคือเนื้อแท้ของมนุษย์ และเป็นเนื้อแท้ของความเป็นคาทอลิกด้วย
ใครที่บอกว่า วัยรุ่นสมัยใหม่สนใจแต่ตัวเอง ลองคิดดูอีกทีหนึ่งนะครับ เพราะแม้ในหนังเรื่องนี้ที่มีท่าที ‘พูดถึงตัวเอง’ เต็มที่ ก็ยังแอบแฝงการวิพากษ์โครงสร้างใหญ่
ชนิดที่คนรุ่นก่อนไม่เคยกล้าทำเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่ง
หนังเรื่องนี้คือการประกาศว่ามีเกย์คาทอลิกอยู่ในโลกนี้จริงๆ และพวกเขาคือเกย์คาทอลิก
ไม่ว่าจะพลิกดูจากความหมายไหน !
หมายเหตุ: (นอกจากจะเป็นบรรณาธิการหนุ่มไฟแรงแห่ง
นิตยสาร GM แล้ว โตมร ศุขปรีชา ยังเป็นนักเขียน-นักแปลและคนทำงานด้านความคิด
ที่ มีมุมมองทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจอีกด้วย บทวิจารณ์หนังเรื่อง 'รักแห่งสยาม' ในครั้งนี้ คงเป็นหลักฐานมัดตัวผู้เขียนจากถ้อยคำนี้ได้เป็นอย่างดี - นันทขว้าง สิรสุนทร)
…………..โตมร ศุขปรีชา
ที่มา http://www.ryt9.com/s/prg/284476/
__________________
จะรอดมั้ยน๊อออ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #2  
Old 07 ตุลาคม 2009, 17:29
LightLucifer's Avatar
LightLucifer LightLucifer ไม่อยู่ในระบบ
กระบี่ธรรมชาติ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 25 กันยายน 2008
ข้อความ: 2,352
LightLucifer is on a distinguished road
Default

แล้วคุณ Pakpoom หละครับเข้าใจดีแค่ไหน 555+++
__________________
เหนือฟ้ายังมีฟ้าแต่เหนือข้าต้องไม่มีใคร

ปีกขี้ผื้งของปลอมงั้นสินะ


...โลกนี้โหดร้ายจริงๆ มันให้ความสุขกับเรา แล้วสุดท้าย มันก็เอาคืนไป...
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #3  
Old 11 ตุลาคม 2009, 08:07
-*-''s Avatar
-*-' -*-' ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าใหม่
 
วันที่สมัครสมาชิก: 23 ธันวาคม 2007
ข้อความ: 87
-*-' is on a distinguished road
Default

ดูแล้ว ก็ สนุกดี แต่ ดูหนัง ไม่ต้องเข้าใจก็ได้มั้ง ขอให้ได้ความสุขในการดูก็พอ . . . . เดี๋ยวจะคิดมากไปเปล่าๆ
__________________
Not Me But You
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #4  
Old 11 ตุลาคม 2009, 10:17
Pakpoom Pakpoom ไม่อยู่ในระบบ
กระบี่ประสานใจ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 06 เมษายน 2009
ข้อความ: 616
Pakpoom is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ LightLucifer View Post
แล้วคุณ Pakpoom หละครับเข้าใจดีแค่ไหน 555+++
ดูแล้วอยากมีชีวิตแบบนั้นบ้าง แต่ไม่เสียพี่สาวนะ - - แล้วไรท์หล่ะ อยากไหม...
__________________
จะรอดมั้ยน๊อออ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #5  
Old 11 ตุลาคม 2009, 11:16
LightLucifer's Avatar
LightLucifer LightLucifer ไม่อยู่ในระบบ
กระบี่ธรรมชาติ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 25 กันยายน 2008
ข้อความ: 2,352
LightLucifer is on a distinguished road
Default

เอิ่ม ผมยังไม่เคยดูเลยอ่ะครับ และผมก็ไม่ได้เป็นประเภท Yaranaika ด้วยนะครับ ^^ เหอๆ

ตอนนี้อยากดูรถไฟฟ้ามาหานะเธอมากเลย
__________________
เหนือฟ้ายังมีฟ้าแต่เหนือข้าต้องไม่มีใคร

ปีกขี้ผื้งของปลอมงั้นสินะ


...โลกนี้โหดร้ายจริงๆ มันให้ความสุขกับเรา แล้วสุดท้าย มันก็เอาคืนไป...
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #6  
Old 11 ตุลาคม 2009, 11:30
์nat's Avatar
์nat ์nat ไม่อยู่ในระบบ
กระบี่ไว
 
วันที่สมัครสมาชิก: 24 กุมภาพันธ์ 2009
ข้อความ: 207
์nat is on a distinguished road
Send a message via MSN to ์nat
Default

ประชากรชายลดลงอย่างรวดเร็ว
ทำให้ผู้หญิงอย่างเรา ช้ำใจอย่างยิ่ง
__________________
Teletubies
Tikky Winky Difzy LaaLaa Pol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #7  
Old 11 ตุลาคม 2009, 12:12
Pakpoom Pakpoom ไม่อยู่ในระบบ
กระบี่ประสานใจ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 06 เมษายน 2009
ข้อความ: 616
Pakpoom is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ LightLucifer View Post
เอิ่ม ผมยังไม่เคยดูเลยอ่ะครับ และผมก็ไม่ได้เป็นประเภท Yaranaika ด้วยนะครับ ^^ เหอๆ

ตอนนี้อยากดูรถไฟฟ้ามาหานะเธอมากเลย
ม่ายเคยดูเจงอ่ะ
__________________
จะรอดมั้ยน๊อออ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
ตั้งหัวข้อใหม่ Reply


หัวข้อคล้ายคลึงกัน
หัวข้อ ผู้ตั้งหัวข้อ ห้อง คำตอบ ข้อความล่าสุด
คุณสมบัติของ "0" banker ปัญหาคณิตศาสตร์ ม. ต้น 6 20 สิงหาคม 2009 19:05
[ความคิดของผม]อนาคตมนุษย์จะไม่สามารถ"ย้อนเวลา"หรือสร้าง"ไทม์แมชชีน"ได้ Pakpoom ฟรีสไตล์ 3 31 กรกฎาคม 2009 16:15
กรุณา"แสดงวิธีทำ" 5 ข้อExpo&Log ให้ดูหน่อยครับ rattachin calculated ปัญหาคณิตศาสตร์ ม.ปลาย 11 14 พฤษภาคม 2009 15:45
ช่วย โจทย์ นี่ ที ครับ (2 ข้อ) จาก "สิรินธร 2549" Dr.K ปัญหาคณิตศาสตร์ ม. ต้น 6 11 ธันวาคม 2008 10:51
ถึงพี่ "nongtum" comza ฟรีสไตล์ 1 09 มกราคม 2008 21:49


กฎการส่งข้อความ
คุณ ไม่สามารถ ตั้งหัวข้อใหม่ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบหัวข้อได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์และเอกสารได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความของคุณเองได้

vB code is On
Smilies are On
[IMG] code is On
HTML code is Off
ทางลัดสู่ห้อง


เวลาที่แสดงทั้งหมด เป็นเวลาที่ประเทศไทย (GMT +7) ขณะนี้เป็นเวลา 23:43


Powered by vBulletin® Copyright ©2000 - 2024, Jelsoft Enterprises Ltd.
Modified by Jetsada Karnpracha