Mathcenter Forum  

Go Back   Mathcenter Forum > คลายเครียด > ฟรีสไตล์
สมัครสมาชิก คู่มือการใช้ รายชื่อสมาชิก ปฏิทิน ข้อความวันนี้

ตั้งหัวข้อใหม่ Reply
 
เครื่องมือของหัวข้อ ค้นหาในหัวข้อนี้
  #1  
Old 15 มิถุนายน 2010, 20:54
คusักคณิm's Avatar
คusักคณิm คusักคณิm ไม่อยู่ในระบบ
เทพยุทธ์
 
วันที่สมัครสมาชิก: 28 มีนาคม 2008
ข้อความ: 4,888
คusักคณิm is on a distinguished road
Default วิบากกรรม หัวกะทิ:เมื่อที่ 1 เอนทรานซ์ออกบวช

ชายคนหนึ่งมองปรากฏการณ์ "เผาโรงเรียน" อย่างเข้าใจเพราะเคยโดนความเป็นที่ 1 หวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนี้เขาจึงเลือกใช้ชีวิตอย่างสงบในผ้าเหลือง

การที่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาวางแผนและเผาโรงเรียนนั้น สำหรับเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องร่วมสถาบัน มันอาจเป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยคำว่า ทำไม , สำหรับสังคมและคนอื่นๆ มันคือ ความเครียด กดดัน ที่เกิดจากระบบการเรียนการสอนสำหรับเด็กหัวกะทิ และสำหรับพ่อแม่ คือ การย้อนกลับไปถามตัวเองว่า ยังอยากจะให้ลูกเรียนเก่งอยู่หรือเปล่า...


เราคงไม่กล้าไปสรุปหรือหาคำตอบใดๆ ในเรื่องนี้ หากมี "พระ" อยู่รูปหนึ่ง ที่หลายปีก่อน เคยสอบเอนทรานซ์คะแนนเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ได้ 2 เหรียญทองแดงจากการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิค เป็นวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากรั้วจามจุรี และได้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ก่อนจะกลับมาทำงาน และตัดสินใจก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์จนเข้าปีที่ 4 ปีนี้ และยังไม่มีโครงการลาสิกขาในอนาคตอันใกล้

หลังจากรับรู้ข่าวไม่ค่อยสู้ดี อดีตนักเรียนห้อง king ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษารูปนี้ บอกว่า เหมือนกลับไปเห็นตัวเองสมัยก่อน และบอกสั้นๆ ว่า "อาตมาเข้าใจ อาตมาเองก็เคยเป็นแบบนี้"

ตลอดการสนทนา ครูบาป๋อง สวนสันติธรรม อำเภอศรีราชา หรือ นายกรกฎ เชาววะวนิช ในอดีต เจ้าของคะแนนเอนทรานซ์สูงสุด ปี 2537 ไม่เคยบอกว่าตัวเองโชคดี ที่ผ่านความเครียดเหล่านี้มาได้ แต่ความเครียดที่พัดเข้ามาหาหลายระลอกต่างหาก ที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ผ่านช่วงวิกฤติ โดยเฉพาะทุกข์ครั้งสาหัสที่สุด ที่ฉุดตัวเองให้พ้นจากหลุมดำมาได้





ตำรา A ความสัมพันธ์ F

ประวัติการเรียนของ ด.ช.กรกฎ ดีเด่นมาตลอด ตั้งแต่มัธยม1และ 2 ที่โรงเรียนจิตรลดา จากนั้นสอบเทียบข้าม ม.3 มาอยู่ห้องคิง แผนกวิทย์-คอมพิวเตอร์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา


แต่ความเครียดก็ก่อเค้ามาตั้งแต่ ม.2 ด้วยซ้ำ...

"ตอนนั้นทำตัวเพี้ยนๆ กับเพื่อนที่เป็นเด็กเรียน เขาชอบอ่านสามก๊ก ก็เอามุขตลกสามก๊กมาเล่น ซึ่งมันเกินวัย คนอื่นไม่เข้าใจเป็นตลกเชิงวิชาการ เป็นมุขเด็กเรียน เราขำกับเพื่อนอยู่ไม่กี่คน เพื่อนคนอื่นก็คิดว่าเราบ้า หลายคนไม่ชอบเรา แกล้งล้อ พูดจาไม่ดีด้วย แต่ไม่ถึงกับทำร้ายร่างกาย" เพียงเท่านี้ก็ทำให้ ด.ช.กรกฎเริ่มเครียดขึ้นมา พ่อแม่เองก็ไม่รู้เพราะลูกชายไม่ได้เล่า


แต่อาการขณะนั้นยังไม่มาก เพราะยังมีเพื่อนแบบเดียวกันให้คบ ซึ่งแต่ละคนนิสัยจะคล้ายๆ กันคือ จิตใจและอารมณ์ไม่ค่อยเข้มแข็ง มีปัญหาด้านการสื่อสารและความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ แต่เรียนเก่ง

ดีกรีความเครียดมาเพิ่มมากขึ้น เมื่อย้ายมาเป็นน้องใหม่ในรั้วเตรียมอุดมฯ แวดล้อมไปด้วยเพื่อนๆ ที่เก่งพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แถมอายุมากกว่าเพราะ เด็กชายจากจิตรลดามาแบบสอบเทียบข้าม ม.3

"สมัยก่อนเพื่อนๆ ยังพึ่งเรา แกล้งกันยังไงก็ยังต้องพึ่งเราเพราะเราเก่ง แต่ที่เตรียมฯ ทุกคนเก่งถ้วนหน้า เลยไม่มีจุดเชื่อมระหว่างกับเรากับเพื่อนๆ ที่ไม่เก่ง มนุษย์สัมพันธ์ไม่เกิด ไม่มีใครต้องพึ่งพาเรา" ครูบาป๋อง เสริมอีกด้วยว่า ถ้าเด็กยิ่งไม่มีทักษะทางอารมณ์ ก็ไม่สามารถหาเพื่อนใหม่ได้


สำหรับเด็กสอบเทียบอย่างเขา นอกจากจะเจอแต่เพื่อนเก่งๆ แล้ว ความที่เรียนมัธยมต้นแค่ 2 ปี จึงมีหลายวิชาที่ตามไม่ทัน หรือบางวิชาก็ไม่ได้เรียนมาก่อน แต่อาศัยว่าในห้องมีเพื่อนที่สอบเทียบมาอีก 2 คน กลุ่มนายกรกฎก็เลยคบกันอยู่แค่นี้


การแกล้ง ล้อเลียน ไม่เป็นปัญหาในหมู่เด็กโตชั้นมัธยมปลาย แต่เรื่องน่าหนักใจกลับไปตกอยู่ที่ "ความสัมพันธ์"

"ปัญหามันอยู่ที่ตัวเรา เราแสดงออกกับคนอื่นไม่ดี คิดอย่างไรทำอย่างนั้น ไม่ค่อยคิดถึงคนอื่น อยากทำอะไรก็ทำ อาจจะติดจากสมัยเด็กๆ เพื่อนต้องเกรงใจเพราะเราเก่ง หลายคนมองเราไม่ดี ไม่คุยกับเรา ต่อต้านเรา กับอาจารย์เองก็เคย ครั้งหนึ่งเขาสอนข้ามไปข้ามมา เราก็ยกมือแย้งถึง 2 รอบ บอกว่า ทำไมอาจารย์ไม่สอนบทนั้น บทนี้ จนอาจารย์เสียใจ เดินออกจากห้อง เพื่อนๆ ต้องพาเราเอาพวงมาลัยไปขอโทษ ซึ่งตอนนั้นเราก็รู้สึกผิด และรู้ว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์จริงๆ"

ความตระหนักรู้มาเพิ่มขึ้นเมื่อตอนปิดภาคเรียนฤดูร้อนก่อนขึ้นม.5 กรกฎได้ไปบวชเรียน กับท่านปัญญานันทะ วัดชลประทานรังสฤษฎ์ เด็กหนุ่มใช้เวลาศึกษาธรรมมะ สุภาษิตบทสั้นๆ ที่กล่อมเกลาให้นึกถึง เห็นใจคนอื่น อ่อนน้อม

?เปิดเทอมใหม่ เพื่อนบอกว่า เรานิสัยดีขึ้นเยอะ ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนหายไปเยอะเลย? ความเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้น

แต่เรื่องความเครียดในการเรียน ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะหลังการสอบแต่ละครั้ง จะมีทั้งความตื่นเต้น กดดัน

จะไม่ให้เครียดได้อย่างไร เพราะตั้งแต่ ม.4 กรกฎก็อัดเรียนพิเศษเต็มวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพื่อเรียนเนื้อหา ม.5 ม. 6 ล่วงหน้า แล้วพอขึ้นมา ม.5 คอร์สนอกห้องเรียนยิ่งเข้มข้นขึ้น

?เสาร์-อาทิตย์เรียนประมาณ 11 ชั่วโมง เน้นวิชาเอนท์หนักๆ 3-4 วิชา เหนื่อยมาก?





ติดบ่วงโอลิมปิค

ระหว่างที่ยังศึกษาอยู่ชั้น ม.5 กรกฎได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิคที่ประเทศตุรกี ซึ่งก็ไม่เป็นเรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะในห้องเดียวกัน มีเพื่อนๆ ร่วมไปแข่งโอลิมปิควิชาการถึง 19 คน


แล้วกรกฎกับเพื่อน ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการคว้าเหรียญทองแดงกลับมา

?ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเก่ง ฉลาดมาก คนให้การต้อนรับยกย่องเยอะ? ครูบาป๋อง ย้อนวัยกลับไปดูสภาวะจิตใจตัวเอง
และนั่นก็เป็น "ทุกข์ก้อนที่ 2 ของอาตมา..."

เพราะสำเร็จมาตลอด เจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิคจึงบอกกับตัวเองว่า จะต้องสำเร็จยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนความผิดพลาดจะเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่น


แต่ความผิดพลาดก็มาเยือนเร็วกว่าที่คิด ช่วงสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง หรือ "ทุนคิง" ในภาษาเด็กเตรียมฯ กรกฎไม่พลาดและไปพร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อย

ปรากฎว่าเขาผ่านรอบสอบข้อเขียน 10 คนสุดท้าย แต่กลับไปตกในช่วงสอบสัมภาษณ์ 5 คน


"เราก็รู้สึก อาย เครียด" ตามมาติดๆ ด้วยการเป็นตัวแทนไปแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิคเป็นปีที่ 2 ผลก็คือ คะแนนไปอยู่ในช่วงตรงกลางค่อนไปทางครึ่งหลัง เลยชวดเหรียญทองแดงไป

"ทั้งอาย ทั้งทุกข์ กลุ้มใจ" แต่ 2 สัปดาห์ต่อมา เจ้าภาพครั้งนั้นคือ ฮ่องกง มีการเลื่อนเกณฑ์ลงมาเพื่อเอื้อให้ตัวแทนจากประเทศตัวเอง อานิสงส์ตกถึงกรกฎ เหรียญทองแดงที่ตอนแรกพลาด ก็ได้มาคล้องคอจนได้


ความทุกข์ที่กัดกินใจอยู่หลายวัน แล้วจู่ๆ ก็พลิกผันกลับมาสมหวัง ทำให้กรกฎเริ่มเห็นว่า "ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ตลอด"


"ถ้าไม่เคยได้เหรียญมาก่อนก็ไม่กดดัน ความสำเร็จสร้างความทุกข์ให้เราจากความยึดมั่น ถือมั่น" เขาเริ่มเข้าใจบ้างแล้วว่า ความทุกข์ต้องมีเข้ามาเรื่อยๆ แต่ถ้ารู้จักทำใจยอมรับความล้มเหลวได้ ก็จะไม่เป็นอะไร

ขนาดว่าเริ่มคิดได้ แต่เมื่อ "ทุกข์ก้อนหนักที่สุด" แวะเข้ามา เขาก็แทบจะล้มทั้งยืน

เมื่อเรียนจบปริญญาตรีที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เขาคว้าทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ เรื่องเรียน เรื่องวิชาการไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่พอมาเจอ "ธีซิส" ก่อนจบ ที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านสักที นักศึกษาหนุ่มท้อมาก จนเคยคิดว่า ถ้าหลับไป แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นมาอีกเลย...ก็คงดี


"เพราะไม่อยากเจอความทุกข์อย่างนี้" สภาพจิตใจที่อ่อนแอตอนนั้น ทำให้กรกฎตัดสินใจโทรหาพ่อแม่ที่เมืองไทย บอกว่า ถ้าเรียนไม่จบ จะเป็นอะไรไหม คนฟังอีกซีกโลกก็ตกใจ แต่หลังจากนั้น คนเป็นพ่อลงทุนลางานมาอยู่เป็นเพื่อน 2 เดือน มาดูแล ทำกับข้าวให้ คอยเป็นกำลังใจ จนจบปริญญาโทมาได้อย่างเฉียดฉิว

"สุดท้าย คนที่เราพึ่งได้ก็คือคนที่รักเราที่สุด คือ พ่อกับแม่ หรือ เพื่อนดีๆ เราก็พึ่งได้" ซึ่งตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน นักเรียนไทยอาศัยอยู่คนเดียว คิดคนเดียว ทำคนเดียว ไม่มีใครให้คำปรึกษา เวลาทุกข์จึงยิ่งดิ่งลึก

สิ่งหนึ่งที่ครูบาป๋องตั้งข้อสังเกต โดยอิงจากประสบการณ์ที่ผ่านมา คือ เมื่อความผิดพลาดหรือความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว จะมีการแสดงออก 2 อย่างคือ คิดว่าตัวเองผิด ก็จะแสดงออกผ่านทางการฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเอง กับอีกอย่างคือ คิดว่าเป็นความผิดของคนอื่น ก็จะระบายออกอย่างโกรธแค้น ยกตัวอย่างเช่น กราดยิงเพื่อน (ในสหรัฐอเมริกา) ทำร้ายหรือ ทำลายสถานที่ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งไม่ว่าแบบไหนก็เป็นความรุนแรง


..............................................................


"คนภายนอกมองว่าอาตมาเก่ง ไม่เคยรู้ว่าอาตมาก็เคยทุกข์ เคยล้มเหลว" ครูบาป๋อง กำลังจะบอกว่า ไม่ได้มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่เจอปัญหา "คนเราก็มองแต่ภายนอก จะมีใครไหมที่ทุกข์แล้วเอามาเล่าให้คนอื่นฟัง"

อาจฟังดูยากแต่อดีตนักเรียนทุนในผ้าเหลืองรูปนี้ อยากให้ใครก็ตามที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เข้าใจธรรมชาติของปัญหา ว่า มันอาจจะรุนแรงแค่เฉพาะหน้า แต่พอเวลาผ่าน จะค่อยๆ ทุเลา จนเราเองก็อาจจะลืม


"มีชาดกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวที่พระราชาสั่งให้คนคิดทำแหวน ที่ใส่แล้วฉลาด เข้าใจโลก รู้ทุกเรื่อง ช่างคนหนึ่งเลือกเขียนไว้บนตัวแหวนว่า 'เดี๋ยวมันก็ผ่านไป' ฉะนั้นไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ถ้าอดทน เราก็แข็งแรงได้"

ทุกวันนี้ ครูบาป๋อง ยังพากเพียรตั้งใจศึกษาธรรมะต่อไป เนื้อหาอาจไม่ได้แบ่งเป็นรายวิชาอย่างทางโลก แต่ทางธรรม มุ่งศึกษาว่าร่างกายและจิตใจทำงานอย่างไร หาสาเหตุแห่งทุกข์หรือสมุทัย เพื่อพาจิตใจให้อิสระจากทุกข์ แล้วนำเอาสิ่งที่ศึกษาไปให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือผู้อื่นได้

"ความรู้และจิตใจต้องไปควบคู่กัน โดยเฉพาะเด็กที่เก่ง มีพรสวรรค์ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการสร้างประเทศในอนาคต" หลวงพี่สอนน้อง







'รุ่นพี่' ถึง 'รุ่นน้อง'


มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ถึงการเรียนการสอนของ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

แต่ ไกร (นามสมมติ) นักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารรุ่นน้องคนดังกล่าว เพื่อนๆ ในกลุ่มของเขาก็รู้สึกเช่นนั้น แต่ก็อยากชวนให้สังคมมองพวกเขาและโรงเรียนของพวกเขาในอีกมุม

ไกรเองย้ายมาจากโรงเรียนสาธิตฯ ปทุมวัน เมื่อเกือบ 3 ปีก่อนพร้อมกับความถนัดด้านคณิตศาสตร์ เขายอมรับว่า บางวิชาที่มหิดลฯ เข้มข้นกว่าโรงเรียนอื่นจริงๆ (จากการคุยกับเพื่อนต่างสถาบัน)


"เข้มข้นจริง แต่เราไม่ได้เรียนเพื่อไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราเรียนเพื่อวิจัยองค์ความรู้ เพื่อนำกลับมาพัฒนาประเทศ ถ้าไม่เข้มข้นแล้ว จะไปช่วยประเทศได้อย่างไร ถ้าคนที่มีอุดมการณ์อย่างนี้ เขาก็จะเข้าใจ ว่าเขาทำอะไรอยู่

เด็กที่เรียนที่นี่ ไม่ได้สนใจว่า ต่อไปจะเอ็นท์คณะอะไร แล้วพ่อแม่จะชอบไหม งานหาง่ายหรือเปล่า แต่เราคิดว่าเราอยากเป็นอะไร อยากรู้อะไร และอยากทำอะไรให้ประเทศ"

ส่วนเรื่อง "ความเครียด" ที่เขาอยากสื่อสาร ไกรยอมรับว่า มี ซึ่งอาจผสมปนเปกับโรคคิดถึงบ้าน (Homesick) เพราะที่นี่ให้เด็กอยู่หอ ตั้งแต่อาทิตย์(เย็น)-ศุกร์


และเขาก็ยืนยันว่า "สอบตก" ไม่ได้มีผลกับคะแนนภาพรวมมากนัก ประมาณ ตก 2-3 ครั้งก็ยังได้เกรด 4 เพราะจะมีการสอบเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายครั้งคอยช่วยเสริมคะแนน

"แต่ถ้าตกจริงๆ ครูก็จะช่วยเหลือ ให้เข้า 'คลินิกวิชาการตอนกลางคืน' เพราะที่โรงเรียนไม่สนับสนุนให้เรียนพิเศษ โดยเด็กๆ สามารถเข้าไปคุยกับอาจารย์ ถามเรื่องทั่วไป เรื่องเรียน หรือบางทีผมขาดเรียน ตามไม่ทัน ก็จะเข้าไปให้อาจารย์ช่วนสอนตั้งแต่แรก" หลังเลิกเรียนก็จะมีกิจกรรมต่างๆ เช่น sportday

เพื่อนในห้องอีก 23 คนของไกร มีหลายระดับ ทั้งเครียดน้อย เครียดมาก ไปจนถึงเครียดมากที่สุด ในทุกครั้งที่สอบ แต่หลายคนก็มีทางออกต่างกัน เช่น ปรึกษาเพื่อน เล่นเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อนหญิงบางคนเลือกตีสควอช เพราะช่วยระบายอารมณ์ได้ดีมาก

สำหรับไกร อยู่โรงเรียนรู้สึกอิสระมากกว่าอยู่ที่บ้าน และเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนเก่า มหิดลฯ เครียดน้อยกว่า เพราะเขาได้เรียน ได้เจอกับคนแบบเดียวกัน ชอบแบบเดียวกัน ผิดกับที่เก่าที่เพื่อนมาจากทั่วสารทิศ ทั้งสอบเข้า ฝาก เพื่อนจึงมีหลากหลายมาก จะไม่ค่อยเจอใครที่เหมือนกับตัวเอง

"แต่นั่นก็ขึ้นกับว่าอยู่กับเพื่อนกลุ่มไหน และอยู่ที่ว่าเราจะจัดการความเครียดยังไง จัดลำดับความสำคัญอย่างไร ผมเองถ้าตั้งใจอ่าน ตั้งใจทำสุดๆ แล้วก็ยังตก ก็จะปล่อยวาง ปล่อยมันไปบ้าง"



Credit : Forward mail

รู้สึกยังไงกันบ้างครับ
__________________
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #2  
Old 15 มิถุนายน 2010, 22:59
Αρχιμήδης's Avatar
Αρχιμήδης Αρχιμήδης ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าใหม่
 
วันที่สมัครสมาชิก: 24 เมษายน 2010
ข้อความ: 87
Αρχιμήδης is on a distinguished road
Default

....เห็นใจครับ....ผมเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว มันอธิบายไม่ถูก ผมก็ไม่ใช่เรียนเก่งอะไรมากมาย จากได้ 3.46 ตกเหลือ 2.95 พอเห็นเกรดตอนแรกผมช็อกเลยครับ แทบร้องไห้
แต่นับว่าเป็นโชคดีของผมครับที่มีครอบครัวที่ดี ไม่ซ้ำเติม แถมยังคอยให้กำลังใจเสมอมา

....แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการเผาห้องสมุดครับ (แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้วคงแก้ไขอะไรไม่ได้)
$EQูั^\infty > IQ$
__________________
True success is not in the learning,but in its application to the benefit of mankind.
Mahidol Songkla MD. (สมเด็จฯ พระบรมราชชนก)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #3  
Old 15 มิถุนายน 2010, 23:11
poper's Avatar
poper poper ไม่อยู่ในระบบ
กระบี่ธรรมชาติ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 12 พฤษภาคม 2010
ข้อความ: 2,643
poper is on a distinguished road
Send a message via MSN to poper
Default

ก็เห็นใจแล้วก็เข้าใจอ่ะนะครับ มันขึ้นอยู่กับหลายๆอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่สำคัญและขาดไม่ได้คือ "กำลังใจครับ"
เวลาที่มีปัญหาเคยมั้ยครับ ที่เรารู้ว่าไมมีใครที่ช่วยเราได้ แต่มีคนที่ให้กำลังใจเราตลอด ความเครียดจะลดลงไปเยอะเลย แล้วเราก็จะคิดแก้ปัญหานั้นใหม่โดยที่มีสติ รอบคอบ และรู้ผิดรู้ถูกมากกว่าตอนที่กำลังเครียดอยู่
ดังนั้นเมื่อคุณมีปัญหาอะไรก็ตามอย่าคิดอยู่คนเดียวครับ หาเพื่อนช่วยคิด แม้เขาจะช่วยเราไม่ได้อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจและเตือนไม่ให้เราทำอะไรผิดๆลงไปครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #4  
Old 16 มิถุนายน 2010, 16:53
-SIL-'s Avatar
-SIL- -SIL- ไม่อยู่ในระบบ
บัณฑิตฟ้า
 
วันที่สมัครสมาชิก: 01 มกราคม 2010
ข้อความ: 348
-SIL- is on a distinguished road
Default

ผมให้ความสำคัญกับเกรดพอๆกับ ผ.อ. คนใหม่เลย
__________________
เวลาที่เหลืออยู่มีวิธีการใช้สองแบบ คือ
ทางที่เรียบง่ายไม่มีอะไร กับอีกทาง ที่ทุกอย่างล้วนมหัศจรรย์
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #5  
Old 17 มิถุนายน 2010, 06:29
ครูนะ ครูนะ ไม่อยู่ในระบบ
กระบี่ประสานใจ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 27 ตุลาคม 2007
ข้อความ: 618
ครูนะ is on a distinguished road
Default

ผมไม่ชอบระบบการศึกษาแบบนี้เลยครับ

เน้นการแข่งขันมากเกินไป สังคมไทยทุกวันนี้มีแต่การแก่งแย่งชิงดีกัน

เพราะความคิดที่ว่า หมอ > วิศวะ > สถาปัตย์ > วิทยาศาสตร์ > นิติ > บัญชี > ...

ในสายหมอเองก็แบ่ง ศัลยกรรม > เวชศาสตร์ > ผิวหนัง > สูติ >...

ผมว่าสังคมไทยมันบ้าไปแล้วครับ

พ่อแม่ของนักเรียนสมัยนี้ ให้ลูกกวดวิชา ทั้งเสาร์ อาทิตย์ รวมถึงตอนเย็น จันทร์ - ศุกร์ นักเรียนไม่มีเวลา

หมอ วิศวะ เป็นแค่สองทางเลือกสำหรับนักเรียนสมัยนี้

ทุกคนผูกติดกับการแข่งขัน เพื่อเงินและอำนาจ คิดแต่ส่วนตนมาก่อนส่วนรวม

สังคมไทยมีการแบ่งชนชั้นสูง ทรรศนะคติไม่ดีมากๆ กับคนยากจน

อย่าหวังเลยว่าประเทศไทยจะพัฒนา หากคนส่วนใหญ่ในประเทศยังบ้า

ผมเคยอยู่ในระดับล่างสุด และเห็นระดับบนสุดมาครับ ผมรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมเชิงโครงสร้าง

ระบบการศึกษาไทยเละ และล่มสลาย อยากบอกจริงๆ ทำไมประเทศฟินแลนด์นักเรียนเรียนน้อยมาก

ไม่มีการกวดวิชา แต่สมารถส่งโนเกียไปขายทั่วโลกได้ ต่างจากนักเรียนไทยเรียนมากแข่งมาก

สุดท้ายเป็นขี้ข้าต่างชาติครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #6  
Old 17 มิถุนายน 2010, 08:49
krutuay's Avatar
krutuay krutuay ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าหยก
 
วันที่สมัครสมาชิก: 22 สิงหาคม 2008
ข้อความ: 152
krutuay is on a distinguished road
Default

อ่านของ คณครูนะ
แล้วมองเห็นภาพชัดเจนเลย
แถวบ้านผม ไม่มีกวดวิชา เลิกเรียนมาเด็ก ๆ กลับบ้าน ตั้งวงกินส้มตำ หาปู หาปลา
ตั้งวงสนทนา กินเหล้าบ้าง เล่นกีฬาบ้าง ตั้งทีมซิ่งมอเตอร์ไซต์บ้าง
อาชีพประจำถิ่น ทำนา กรีดยางพารา
อาชีพ ครู คืออาชีพที่เลิศที่สุดแล้ว แบบบ้าน ๆ ของผม ก็ดีนะ แต่บ้างครั้งก็รู้สึกว่ามันเอื่อยเกินไปหรือเปล่า...
__________________
มนุษย์เราเอยเกิดมาทำไม นิพพานมีสุขอยู่ไยมิไป...
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #7  
Old 17 มิถุนายน 2010, 19:37
บัณฑิตฟ้า
 
วันที่สมัครสมาชิก: 12 พฤศจิกายน 2009
ข้อความ: 546
เทพแห่งคณิตศาสตร์ตัวจริง is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ ครูนะ View Post
ผมไม่ชอบระบบการศึกษาแบบนี้เลยครับ

เน้นการแข่งขันมากเกินไป สังคมไทยทุกวันนี้มีแต่การแก่งแย่งชิงดีกัน

เพราะความคิดที่ว่า หมอ > วิศวะ > สถาปัตย์ > วิทยาศาสตร์ > นิติ > บัญชี > ...

ในสายหมอเองก็แบ่ง ศัลยกรรม > เวชศาสตร์ > ผิวหนัง > สูติ >...

ผมว่าสังคมไทยมันบ้าไปแล้วครับ

พ่อแม่ของนักเรียนสมัยนี้ ให้ลูกกวดวิชา ทั้งเสาร์ อาทิตย์ รวมถึงตอนเย็น จันทร์ - ศุกร์ นักเรียนไม่มีเวลา

หมอ วิศวะ เป็นแค่สองทางเลือกสำหรับนักเรียนสมัยนี้

ทุกคนผูกติดกับการแข่งขัน เพื่อเงินและอำนาจ คิดแต่ส่วนตนมาก่อนส่วนรวม

สังคมไทยมีการแบ่งชนชั้นสูง ทรรศนะคติไม่ดีมากๆ กับคนยากจน

อย่าหวังเลยว่าประเทศไทยจะพัฒนา หากคนส่วนใหญ่ในประเทศยังบ้า

ผมเคยอยู่ในระดับล่างสุด และเห็นระดับบนสุดมาครับ ผมรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมเชิงโครงสร้าง

ระบบการศึกษาไทยเละ และล่มสลาย อยากบอกจริงๆ ทำไมประเทศฟินแลนด์นักเรียนเรียนน้อยมาก

ไม่มีการกวดวิชา แต่สมารถส่งโนเกียไปขายทั่วโลกได้ ต่างจากนักเรียนไทยเรียนมากแข่งมาก

สุดท้ายเป็นขี้ข้าต่างชาติครับ
ผมว่าแข่งขันอย่างนี้ สนุกดีออกนะครับ อิอิ (มันสนุกจริงๆ ไม่ว่าจะทำได้ หรือ ไม่ได้ แค่ได้ไปมันคือความสุขของผมแล้ว แต่ถ้าได้รางวัลติดไม้ติดมือมา ถือเป็นกำไรครับ)


อ้างอิง:
ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ ครูนะ View Post
สุดท้ายเป็นขี้ข้าต่างชาติครับ
ผมว่าไม่จริงนะครับ เพราะคนไทยที่เก่งๆ(จริงๆ) พอเรียนจบ เขาไม่อยู่ประเทศไทยกันอ่ะครับ (ไปต่างประเทศ เงินเดือนเยอะ) ถ้าคนเก่งๆกลับมาพัฒนาประเทศชาติป่านนี้ประเทศไทยพัฒนาไปไกลแล้ว

17 มิถุนายน 2010 19:38 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ เทพแห่งคณิตศาสตร์ตัวจริง
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #8  
Old 17 มิถุนายน 2010, 22:11
ครูนะ ครูนะ ไม่อยู่ในระบบ
กระบี่ประสานใจ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 27 ตุลาคม 2007
ข้อความ: 618
ครูนะ is on a distinguished road
Default

ต้องดูความจริง 2 ส่วนครับ

1. เจ้าของกิจการส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีต่างชาติถือหุ้น ถึงจะถือห้ามเกิน 50% แต่ก็มีนอมินีคนไทยครับ

2. การดำเนินนโยบายของรัฐ ขาดความเป็นอิสระ เพราะทิศทางพัฒนาถูกกำหนดให้คนบางกลุ่ม

โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติเป็นกลุ่มที่รัฐให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

(ผมไม่ได้อ้างลอยๆ ครับ ไปอ่านงานเขียนทางสังคมได้ครับ มีงานวิจัยทางด้านนี้ด้วยครับ)

ครั้งที่ฟองสบู่แตก บริษัทต่างชาติมาซื้อไฟแนนท์และลูกหนี้จากไฟแนนท์มาบริหารและขายต่อให้คนไทยด้วยกัน

ในราคา 20% ของมูลค่าที่แท้จริง แต่ขายให้คนไทยในราคา 70% กินส่วนต่าง 50% ที่สำคัญต่างชาติพวกนี้ไม่ได้ขนเงินมาซื้อ

แต่กู้เงินธนาคารไทยมาซื้อ เหมือนจับเสือมือเปล่า เห็นได้ชัดว่า ปรส. ดำเนินนโยบาลผิดพลาดอย่างชัดเจน

ตัวอย่างมีอีกอย่างมหศาล ไม่อยากพูด เดี๋ยวจะกลายเป็นประเด็นทางการเมืองไปครับ

ที่บอกว่าขี้ข้าต่างชาติ จะเป็นกลุ่มแรงงานไทยที่ต้องไปรับจ้างผลิตมีจำนวนมาก ในราคาถูกแต่ไปตียี่ห้อที่สิงคโปร์แล้วกลับมาขายคนไทยในราคา

200 เท่าตัว

ส่วนคนไทยกลุ่มหนึ่งทำงานให้กับบริษัทต่างชาติ พวกพนักงานออฟฟิศ หรืออาจจะเป็นพนักงานในบริษัทใหญ่กินเงินเดือนมาก

มีเป็นจำนวนไม่น้อย

กลุ่มที่สมองไหล มีน้อยมาก แต่ไม่คิดทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ คิดถึงแต่ตัวเองและครอบครัวเป็นสำคัญ

และแนวโน้มที่คนส่วนใหญ่จะคิดแต่เอาตัวเองให้รอดมีมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ใครๆ ก็ต้องคิดถึงตัวเอง และลูกเมีย เป็นสำคัญ

การกระจายรายได้ของคนในประเทศไทย มีแนวโน้มเลวลง ความถ่างของการกระจายรายได้ระหว่างคนรวยและคนจนมีมาก

ผมจึงไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมถึงเกิดการเผาเมืองขึ้น

การศึกษาไทยไม่เคยแก้ปัญหาพวกนี้เลยครับ รังแต่จะทำให้ปัญหารุนแรงมากขึ้น

17 มิถุนายน 2010 22:21 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ ครูนะ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #9  
Old 21 มิถุนายน 2010, 11:16
ความฝัน ความฝัน ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าหยก
 
วันที่สมัครสมาชิก: 16 เมษายน 2010
ข้อความ: 184
ความฝัน is on a distinguished road
Default

เห็นด้วย กะความคิดเห็นของ คุณครูนะ ครับ
มันเป็นเรื่องจริง ที่เกาะติดกับสังคมไทยมานาน ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่
พ่อมารุ่นเราเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น แต่ปัญหาการชิงดีชิงเด่นมันดันไม่น้อยลงแต่ดันพัฒนาตาม
กรรมจริงๆ
ส่วนเรื่องเผาโรงเรียนผมรู้สึกสงสารเขานะครับ ความกดดันถึงขีดสุดถ้าใครไม่เจอก็ไม่รู้หลอกครับ
มันจะทำให้เราชิงชังคนรอบข้าง ชิงชังสังคม
มองสังคมเลวร้าย สุดท้ายทางที่ดีที่สุดก็คงไม่พ้นพระธรรม ซึ่งช่วยเราได้จริงๆ
__________________
ทำตัวให้ตื่นเต้น
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #10  
Old 21 มิถุนายน 2010, 12:41
nooonuii nooonuii ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎทั่วไป
 
วันที่สมัครสมาชิก: 25 พฤษภาคม 2001
ข้อความ: 6,408
nooonuii is on a distinguished road
Default

อ่านบทความนี้แล้วทำให้ความรู้สึกอยากถือเพศบรรพชิตมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ

บางทีชื่อเสียง เกียรติยศ มันก็เหมือนก้อนหินก้อนมหึมาที่เราแบกไปไหนมาไหนอยู่ทุกวัน หนักนะนั่น

ถ้าเราปล่อยวางก้อนหินก้อนนั้นลงมาบ้าง มันคงจะโล่งสบายขึ้นเยอะเลย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #11  
Old 03 สิงหาคม 2011, 20:37
อัจฉริยะข้ามภพ's Avatar
อัจฉริยะข้ามภพ อัจฉริยะข้ามภพ ไม่อยู่ในระบบ
ลมปราณบริสุทธิ์
 
วันที่สมัครสมาชิก: 26 กรกฎาคม 2011
ข้อความ: 109
อัจฉริยะข้ามภพ is on a distinguished road
Default

เห็นด้วยกับทุกคนเลย
__________________
นํ้าผึ้งเพียงหยดเดียวจับแมลงวันได้มากกว่านํ้าบอระเพ็ด 1 แสนเเกลลอน
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
ตั้งหัวข้อใหม่ Reply



กฎการส่งข้อความ
คุณ ไม่สามารถ ตั้งหัวข้อใหม่ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบหัวข้อได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์และเอกสารได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความของคุณเองได้

vB code is On
Smilies are On
[IMG] code is On
HTML code is Off
ทางลัดสู่ห้อง


เวลาที่แสดงทั้งหมด เป็นเวลาที่ประเทศไทย (GMT +7) ขณะนี้เป็นเวลา 20:12


Powered by vBulletin® Copyright ©2000 - 2024, Jelsoft Enterprises Ltd.
Modified by Jetsada Karnpracha