Mathcenter Forum  

Go Back   Mathcenter Forum > คณิตศาสตร์โอลิมปิก และอุดมศึกษา > ข้อสอบโอลิมปิก
สมัครสมาชิก คู่มือการใช้ รายชื่อสมาชิก ปฏิทิน ข้อความวันนี้

ตั้งหัวข้อใหม่ Reply
 
เครื่องมือของหัวข้อ ค้นหาในหัวข้อนี้
  #1  
Old 21 สิงหาคม 2005, 18:07
Rovers Rovers ไม่อยู่ในระบบ
หัดเดินลมปราณ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 14 เมษายน 2005
ข้อความ: 45
Rovers is on a distinguished road
Post โจทย์โอลิมปิก

1. ให้ f: A B และ g: B C โดยที่ (gof)(x) = x จงพิสูจน์ว่า อินเวอร์สของฟังก์ชัน f เป็นฟังก์ชันหรือไม่ ให้เหตุผลประกอบ

2. จงพิสูจน์ว่า มีจำนวนเต็มบวก x,y,z ที่สอดคล้องกับ 2548x + (-2005)y = (-543)z หรือไม่ ถ้ามี หาคำตอบทั้งหมด ถ้าไม่มี จงแสดงให้เห็นจริง

3. จงหาพหุนาม P(x) ทั้งหมดที่สอดคล้องกับ (x-2548)P(x+3) = (x-2005)P(x)

4. ให้ a เป็นรากที่ 7 ของ 1 โดยที่ a 1 จงหารากของสมการ z2+z+2 = 0 ในรูปของ a ที่มีดีกรีต่ำสุด

5. ABC เป็นสามเหลี่ยมซึ่ง a,b,c เป็นด้านตรงข้ามของมุม A,B,C ตามลำดับ และ (a2+b2)sin(A-B) = (a2-b2)sin(A+B) จงพิสูจน์ว่า ABC เป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่วหรือสามเหลี่ยมมุมฉาก

เป็นโจทย์ สสวท.รอบ 2 ปี 2548ตัดเอาเท่าที่จำได้ จำเอามาให้ทำกันครับ
__________________
do the best
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #2  
Old 21 สิงหาคม 2005, 20:43
gools's Avatar
gools gools ไม่อยู่ในระบบ
บัณฑิตฟ้า
 
วันที่สมัครสมาชิก: 26 เมษายน 2004
ข้อความ: 390
gools is on a distinguished road
Post

ข้อ 1 ก่อนนะครับ
สมมติให้ \(f(x)\) ไม่เป็นฟังก์ชัน 1 ต่อ 1 จะมี \(x_1\) กับ \(x_2\) เป็นสมาชิกของ \(A\) ที่ทำให้ \(f(x_1)=f(x_2)=y\) โดยที่ \(y\) เป็นสมาชิกของ \(B\)
แต่ \(g(f(x_1))=g(y)=x_1\) และ \(g(f(x_2))=g(y)=x_2\)
ดังนั้น \(g\) ไม่ใช่ฟังก์ชัน เกิดข้อขัดแย้ง ดังนั้น \(f\) เป็นฟังก์ชัน 1 ต่อ 1 ทำให้อินเวอร์สของ \(f\) เป็นฟังก์ชัน
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #3  
Old 21 สิงหาคม 2005, 21:01
Char Aznable Char Aznable ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าใหม่
 
วันที่สมัครสมาชิก: 02 ธันวาคม 2004
ข้อความ: 66
Char Aznable is on a distinguished road
Post

ถ้า f 1-1 f ไม่จำเป็นต้องมีอินเวอร์สเป็นฟังก์ชัน
__________________
The Inequalitinophillic
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #4  
Old 21 สิงหาคม 2005, 22:49
gon's Avatar
gon gon ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎขั้นสูง
 
วันที่สมัครสมาชิก: 29 มีนาคม 2001
ข้อความ: 4,607
gon is on a distinguished road
Cool

ข้อ 3 นะครับ.

\((x-2548)P(x+3) = (x-2005)P(x)\)

ขั้นที่ 1 : หาว่า P(x) เป็นพหุนามกำลังเท่าใด
ให้ \(P(x) = a_0 + a_1x + \cdots + a_nx^n\)
ดังนั้น \((x-2548)[a_0 + a_1(x+3) + \cdots + a_{n-1}(x+3)^{n-1} + a_n(x+3)^n ]\)
\(= (x-2005)[ a_0 + a_1x + \cdots + a_{n-1}x^{n-1} + a_nx^n ]\)
เทียบ ส.ป.ส ของ \(x^n : a_{n-1} + a_n {n \choose 1}3 - 2548a_n = a_{n-1} - 2005 a_n \Rightarrow 3n - 2548 = -2005 \Rightarrow n = 181\)

ขั้นที่ 2 : จำกัดค่ารากที่เป็นไปได้
แทน x = 2548 : P(2548) = 0
แทน x = 2005 : P(2008) = 0

ให้ r เป็นรากของพหุนามแสดงว่า P(r) = 0
จากเงื่อนไขโจทย์จะได้ว่า : \((r-2548)P(r+3) = (r-2005)P(r) \Rightarrow (r-2548)P(r+3) = 0\)
ถ้า \(r \ne 2548\) แล้ว P(r+3) = 0 ซึ่งแปลความหมายได้ว่า ถ้า P(r) เป็นรากของพหุนาม แล้ว P(r+3) จะเป็นรากด้วย เช่น P(2548 + 3) = 0 เป็นต้น.

จากเงื่อนไขโจทย์จะได้ว่า : \((r-2551)P(r) = (r-2008)P(r-3) \Rightarrow (r-2008)P(r-3) = 0\)
ถ้า \(r \ne 2008\) แล้ว P(r-3) = 0 ซึ่งแปลความหมายได้ว่า ถ้า P(r) เป็นรากของพหุนาม แล้ว P(r-3) จะเป็นรากด้วย เช่น P(2548 - 3) = 0 เป็นต้น.

ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะจะมีรากเป็นจำนวนอนันต์ อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาเงื่อนไขที่ว่า
(1) n = 181
(2) P(2548) = 0
(3) P(2008) = 0
เราจะพบว่าจะไม่สามารถเลือกค่ารากออกไปจาก 2548 ทางด้านมากจนสุดด้านเดียว คือ P(2548 + 3) , P(2548 + 3 + 3) + ... เพราะจะทำให้ P(2005) ไม่รวมอยู่ในนั้น
ทำนองเดียวกัน จะไม่เลือกค่ารากออกไปจาก 2008 ทางด้านน้อยจนสุดด้านเดียว คือ P(2008 - 3) , P(2008 - 3 - 3) + ... เพราะจะทำให้ P(2548) ไม่รวมอยู่ในนั้น

เมื่อพิจารณาค่ารากตั้งแต่ P(2008) , P(2008 + 3) , ... P(2545 + 3) = P(2548) จะพบว่ามีจำนวนเท่ากับ 181 พอดี นั่นคือ
\(P(x) = C(x-2008)(x-2011)(x-2014)\cdots(x-2545)(x-2548) \)เท่านั้นที่เป็นไปได้ซึ่งเมื่อแทนค่าจะพบว่าเป็นจริง

21 สิงหาคม 2005 23:02 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ gon
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #5  
Old 21 สิงหาคม 2005, 23:09
gools's Avatar
gools gools ไม่อยู่ในระบบ
บัณฑิตฟ้า
 
วันที่สมัครสมาชิก: 26 เมษายน 2004
ข้อความ: 390
gools is on a distinguished road
Post

งงที่น้อง Char Aznable บอกมาครับ ช่วยอธิบายหน่อย
ส่วนข้อ 2 ใช้ mod 3 ครับ จะได้ \(1^x+(-1)^y \equiv 0\ \ (mod\ \ 3)\) ดังนั้น \(y\) เป็นจำนวนคี่
และ \(0^x+(-1)^y \equiv 1\ \ (mod\ \ 4)\)
ดังนั้น \(y\) เป็นจำนวนคู่ เกิดข้อขัดแย้ง

22 สิงหาคม 2005 10:50 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 4 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ gools
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #6  
Old 21 สิงหาคม 2005, 23:40
gon's Avatar
gon gon ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎขั้นสูง
 
วันที่สมัครสมาชิก: 29 มีนาคม 2001
ข้อความ: 4,607
gon is on a distinguished road
Cool

ข้อ 5 ครับ

\((a^2 + b^2)sin(A-B) = (a^2-b^2)sin(A+B)\)
\(\frac{a^2+b^2}{a^2-b^2} = \frac{sin(A+B)}{sin(A-B)} = \frac{sinAcosB+cosAsinB}{sinAcosB-cosAsinB}\)
\(1+\frac{a^2+b^2}{a^2-b^2} = \frac{sin(A+B)}{sin(A-B)} = 1+\frac{sinAcosB+cosAsinB}{sinAcosB-cosAsinB}\)
\(\frac{a^2-b^2}{a^2} = \frac{sinAcosB-cosAsinB}{sinAcosB}\)
\(1-\frac{b^2}{a^2} = 1-\frac{cosAsinB}{sinAcosB}\)

โดยกฏของไซน์ : \(\frac{b}{a} = \frac{sinB}{sinA} \Rightarrow \frac{sin^2B}{sin^2A} = \frac{cosAsinB}{sinAcosB}\)
\(\frac{sinB}{sinA} = \frac{cosA}{cosB} \iff \frac{sinB}{sinA} - \frac{cosA}{cosB} = 0\)
\(\frac{sinBcosB-sinAcosA}{sinAcosB} = 0\)
\((sinA)(cosB)(sin 2B - sin 2A) = 0\)
แต่ \(sin A \ne 0\)
ถ้า \(cos A = 0 \Rightarrow B = \frac{\pi}{2}\)
ถ้า \(sin 2B = sin 2A \Rightarrow 2B = 2A + 2n\pi \Rightarrow B = A + \pi\)
ซึ่งจะเป็นไปได้เมื่อ n = 0 เท่านั้น นั่นคือ A = B

ปล. รู้สึกตอนท้ายจะมั่วนิดนึงนะครับ. เี่ดี๋ยวมาแก้ทีหลังล่ะกัน

22 สิงหาคม 2005 00:54 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ gon
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #7  
Old 22 สิงหาคม 2005, 00:20
gon's Avatar
gon gon ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎขั้นสูง
 
วันที่สมัครสมาชิก: 29 มีนาคม 2001
ข้อความ: 4,607
gon is on a distinguished road
Cool

ข้อ 4
\(\alpha = \cos\frac{2\pi}{7} + i\sin\frac{2\pi}{7}\)
\(\alpha^2 = \cos\frac{4\pi}{7} + i\sin\frac{4\pi}{7}\)
\(\alpha^3 = \cos\frac{6\pi}{7} + i\sin\frac{6\pi}{7}\)
\(\alpha^4 = \cos\frac{8\pi}{7} + i\sin\frac{8\pi}{7}\)
\(\alpha^5 = \cos\frac{10\pi}{7} + i\sin\frac{10\pi}{7}\)
\(\alpha^6 = \cos\frac{12\pi}{7} + i\sin\frac{12\pi}{7}\)

โดย ทฤษฎีสมการและตรีโกณมิติ (ใน My Maths ตอนต่าง ๆ ที่เขียนอยู่) จะได้ว่า

\(\cos \frac{2\pi}{7} + \cos \frac{4\pi}{7} + \cos \frac{8\pi}{7} = -\frac{1}{2}\) และ
\(\sin \frac{2\pi}{7} + \sin \frac{4\pi}{7} + \sin \frac{8\pi}{7} = \frac{\sqrt{7}}{2}\)

ดังนั้น \(-\frac{1}{2} + i\frac{\sqrt{7}}{2} = \alpha + \alpha^2 + \alpha^4 = \alpha + \alpha^2(1+\alpha^2)\)
และ \(-\frac{1}{2} - i\frac{\sqrt{7}}{2} = -(\frac{1}{2} + i\frac{\sqrt{7}}{2}) = -(1 - \frac{1}{2} + i\frac{\sqrt{7}}{2}) = -(1 + \alpha + \alpha^2(1 + \alpha^2))\)
ไม่รูว่า้โจทย์อยากให้ตอบแบบนี้หรือเปล่า

22 สิงหาคม 2005 00:21 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ gon
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #8  
Old 22 สิงหาคม 2005, 03:29
nongtum's Avatar
nongtum nongtum ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎทั่วไป
 
วันที่สมัครสมาชิก: 10 เมษายน 2005
ข้อความ: 3,246
nongtum is on a distinguished road
Smile

1. ข้อสอง หากใช้ mod 3 มันจะเหลืออีกกรณีที่ยังต้องพิสูจน์ คือ เมื่อ y เป็นเลขคู่
2. ข้อห้าบรรทัดที่สาม หลัง = อันแรก ตก 1+ ไปครับ
3. ตัวอย่างฟังก์ชัน 1-1 แต่ไม่ onto (อันหมายถึงไม่มี inverse): f:N->N, f(x)=2x
__________________
คนไทยร่วมใจอย่าใช้ภาษาวิบัติ
ฝึกพิมพ์สัญลักษณ์สักนิด ชีวิต(คนตอบและคนถาม)จะง่ายขึ้นเยอะ (จริงๆนะ)

Stay Hungry. Stay Foolish.

22 สิงหาคม 2005 03:58 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ nongtum
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #9  
Old 22 สิงหาคม 2005, 03:31
passer-by passer-by ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎทั่วไป
 
วันที่สมัครสมาชิก: 11 เมษายน 2005
ข้อความ: 1,442
passer-by is on a distinguished road
Post

ข้อ 5

ถ้าเป็นกรณีสามเหลี่ยมมุมฉาก ผมว่า B เป็นมุมฉากไม่ได้นะครับคุณ gon เพราะแทนค่ากลับไปในโจทย์ จะได้ด้านสามเหลี่ยมด้านหนึ่งเป็น 0

น่าจะอยู่ที่ C ได้ตำแหน่งเดียว
__________________
เกษียณตัวเอง ปลายมิถุนายน 2557 แต่จะกลับมาเป็นครั้งคราว
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #10  
Old 22 สิงหาคม 2005, 10:53
gools's Avatar
gools gools ไม่อยู่ในระบบ
บัณฑิตฟ้า
 
วันที่สมัครสมาชิก: 26 เมษายน 2004
ข้อความ: 390
gools is on a distinguished road
Post

แก้ข้อ 2. แล้วนะครับ
ส่วนข้อ 1 เข้าใจแล้วครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #11  
Old 22 สิงหาคม 2005, 11:48
nooonuii nooonuii ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎทั่วไป
 
วันที่สมัครสมาชิก: 25 พฤษภาคม 2001
ข้อความ: 6,408
nooonuii is on a distinguished road
Post

ข้อ 1 ผมว่าน้อง gool สรุปถูกแล้วครับ โดยทั่วไปเรานิยามความสัมพันธ์ผกผันโดยการสลับตำแหน่งของคู่อันดับ ดังนั้นถ้าฟังก์ชัน f หนึ่งต่อหนึ่ง ความสัมพันธ์ผกผันของ f ก็จะเป็นฟังก์ชันตามนิยามของฟังก์ชัน แต่โดเมนของ f-1 จะเท่ากับ Rf

ข้อนี้เอาคุณสมบัติของฟังก์ชันมาถามครับ เป็นทฤษฎีที่คนเรียนคณิตศาสตร์ชั้นสูงเอาไปใช้กันบ่อยๆ

1. ถ้า gof เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง แล้ว f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง
2. ถ้า gof เป็นฟังก์ชันทั่วถึงแล้ว g เป็นฟังก์ชันทั่วถึง

ดังนั้น ถ้า "x, gof(x) = x เราจะสรุปได้ว่า f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง และ g เป็นฟังก์ชันทั่วถึง
__________________
site:mathcenter.net คำค้น
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #12  
Old 25 สิงหาคม 2005, 21:13
gon's Avatar
gon gon ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎขั้นสูง
 
วันที่สมัครสมาชิก: 29 มีนาคม 2001
ข้อความ: 4,607
gon is on a distinguished road
Cool

ไม่มีอะไรมากเผอิญคิดเอกลักษณ์ใหม่ เลยเอามาแต่งต่อ

ถ้าให้ \(\alpha \,\) เป็นรากที่ 15 ของ 1 และ ไม่เท่ากับ 1 จงเขียน รากของสมการ \(z^2 + z + 4 = 0,\ \) ในรูปของ \(\alpha \) ที่มีกำลังต่ำที่สุด
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #13  
Old 25 สิงหาคม 2005, 21:25
Rovers Rovers ไม่อยู่ในระบบ
หัดเดินลมปราณ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 14 เมษายน 2005
ข้อความ: 45
Rovers is on a distinguished road
Post

ขอโจทย์ข้อ รากที่ 15 เอาลงในมายแม็ทด้วยละกานนะครับ...อิอิ
__________________
do the best
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #14  
Old 25 สิงหาคม 2005, 21:30
gon's Avatar
gon gon ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎขั้นสูง
 
วันที่สมัครสมาชิก: 29 มีนาคม 2001
ข้อความ: 4,607
gon is on a distinguished road
Smile

คำตอบอยู่ที่นี่แล้วครับ. สำหรับคนชอบตรีโกณ (ขุด)

18 พฤษภาคม 2007 14:42 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ mathcenter
เหตุผล: Tag Post
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #15  
Old 03 กันยายน 2005, 02:30
frenchnicky frenchnicky ไม่อยู่ในระบบ
สมาชิกใหม่
 
วันที่สมัครสมาชิก: 02 กันยายน 2005
ข้อความ: 5
frenchnicky is on a distinguished road
Post

เป็นโจทย์ของวันแรกครับ

a ,b ,c เป็นลำดับของจำนวนจริง โดยที่ an+1 = bn + 1/22548(cn+an) ,bn+1 = cn + 1/22548(an + bn) ,cn+1 = an + 1/22548(bn + cn) ให้ sn= an + bn + cn จงแสดงว่า snเป็นอนุกรมลู่เข้าหรือลู่ออก

03 กันยายน 2005 02:46 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ frenchnicky
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
ตั้งหัวข้อใหม่ Reply



กฎการส่งข้อความ
คุณ ไม่สามารถ ตั้งหัวข้อใหม่ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบหัวข้อได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์และเอกสารได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความของคุณเองได้

vB code is On
Smilies are On
[IMG] code is On
HTML code is Off
ทางลัดสู่ห้อง


เวลาที่แสดงทั้งหมด เป็นเวลาที่ประเทศไทย (GMT +7) ขณะนี้เป็นเวลา 18:44


Powered by vBulletin® Copyright ©2000 - 2024, Jelsoft Enterprises Ltd.
Modified by Jetsada Karnpracha