Mathcenter Forum  

Go Back   Mathcenter Forum > คลายเครียด > Games and Puzzles
สมัครสมาชิก คู่มือการใช้ รายชื่อสมาชิก ปฏิทิน ข้อความวันนี้

ตั้งหัวข้อใหม่ Reply
 
เครื่องมือของหัวข้อ ค้นหาในหัวข้อนี้
  #16  
Old 12 พฤศจิกายน 2008, 10:08
ลูกชิ้น's Avatar
ลูกชิ้น ลูกชิ้น ไม่อยู่ในระบบ
กระบี่ไว
 
วันที่สมัครสมาชิก: 05 มีนาคม 2006
ข้อความ: 216
ลูกชิ้น is on a distinguished road
Default

จากรูปข้างบน ถ้าไม่มองเส้น ST ผมนึกถึงรูปหกเหลี่ยมบนรวงผึ้งครับ

แล้วก็สันนิษฐานว่า โครงสร้างเส้นด้านข้างน่าจะเป็นเช่นนี้เสมอคือ มุม ASD และ มุม BTC มีขนาด 2pi/3 ครับ
__________________
Do math, do everything.
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #17  
Old 12 พฤศจิกายน 2008, 10:19
คุณชายน้อย คุณชายน้อย ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าหยก
 
วันที่สมัครสมาชิก: 05 กรกฎาคม 2008
ข้อความ: 156
คุณชายน้อย is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ ลูกชิ้น View Post
จากรูปข้างบน ถ้าไม่มองเส้น ST ผมนึกถึงรูปหกเหลี่ยมบนรวงผึ้งครับ

แล้วก็สันนิษฐานว่า โครงสร้างเส้นด้านข้างน่าจะเป็นเช่นนี้เสมอคือ มุม ASD และ มุม BTC มีขนาด 2pi/3 ครับ
ถูกต้องครับผม โครงสร้างเหมือนรังผึ้งทำมุมกัน 120 องศา ส่วนเส้นที่มองไม่เห็น เดี๋ยวรอก่อนนะครับจะทำให้เห็นเป็นแบบ General สำหรับเหลี่ยมใด ๆ ต้องรอสักครู่ ... เพราะต้องใช้เวลาครับ ... ขอบคุณครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #18  
Old 12 พฤศจิกายน 2008, 17:08
beginner01 beginner01 ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าหยก
 
วันที่สมัครสมาชิก: 15 กันยายน 2008
ข้อความ: 177
beginner01 is on a distinguished road
Default

พอจะพิสูจน์กรณี 3 เหลี่ยม กับ 4 เหลี่ยมนูนให้ดูได้ไหมครับว่าทำไมต้องเป็นจุดนั้นเสมอ? (ด้วยวิธีทางคณิตศาสตร์นะครับ)
__________________
จะคิดเลขก็ติดขัด จะคิดรักก็ติดพัน

12 พฤศจิกายน 2008 17:08 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ beginner01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #19  
Old 13 พฤศจิกายน 2008, 01:43
คุณชายน้อย คุณชายน้อย ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าหยก
 
วันที่สมัครสมาชิก: 05 กรกฎาคม 2008
ข้อความ: 156
คุณชายน้อย is on a distinguished road
Default

สำหรับจุด S และ T ที่หายไป สามารถใช้ Centroid มาช่วยหาได้ แต่ใช้ได้กับสี่เหลี่ยมมุมฉากเท่านั้นครับ ดังรูป


ส่วนวิธีการพิสูจน์ว่าดีที่สุดนั้น เป็นเพราะฟองสบู่ครับ แต่ยังไม่ชัดเจน 100% แต่บอกแง้ม ๆ ก่อนว่าเกี่ยวข้องกับพื้นผิวของฟองสบู่แน่นอน (Surface Property) และมุมต้องเป็น 120 องศาเท่านั้น ยังไงลองศึกษาเพิ่มเติมที่นี่ก่อน บอกใบ้ตอนนี้ก่อน ให้สังเกตจากแรงสามแรงอะไรเอ๋ยที่มากระทำกับหยดน้ำ แล้วยังไงจะมาต่ออีกนะครับ... ส่วนวิธีการคิดทางคณิตศาสตร์นั้น แอะ ๆ ยังไม่มีใครคิดครับ เพราะ OMG
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #20  
Old 13 พฤศจิกายน 2008, 23:46
คุณชายน้อย คุณชายน้อย ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าหยก
 
วันที่สมัครสมาชิก: 05 กรกฎาคม 2008
ข้อความ: 156
คุณชายน้อย is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ คุณชายน้อย View Post
ถูกต้องครับผม โครงสร้างเหมือนรังผึ้งทำมุมกัน 120 องศา ส่วนเส้นที่มองไม่เห็น เดี๋ยวรอก่อนนะครับจะทำให้เห็นเป็นแบบ General สำหรับเหลี่ยมใด ๆ ต้องรอสักครู่ ... เพราะต้องใช้เวลาครับ ... ขอบคุณครับ
ในทางคณิตศาสตร์ยังไม่มี Algorithm ในการหาจุดที่มองไม่เห็นดังกล่าว ในกรณีที่มากกว่า 4 เหลี่ยม
- สำหรับรูป 3 เหลี่ยมมีจุดที่มองไม่เห็น 1 จุด ก็คือจุด Centroid มีสูตรสำเร็จเรียบร้อยทางคณิตศาสตร์
- สำหรับรูป 4 เหลี่ยมมีจุดที่มองไม่เห็น 2 จุด ก็คือจุด S,T ดังรูปเก่า (ด้านบน) สำหรับรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก ผมสมมติฐานว่าจุด S,T อยู่บนแนวเส้น MN ซึ่ง M,N เป็น Centroid ดังรูปเก่า (ด้านบน) แล้วลองหาจุด S,T ดูปรากฏว่าสามารถหาได้เสมอที่สอดคล้องเงื่อนไขของการทำมุม 120 องศา (เหมือนรังผึ้ง) ซึ่งเราสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้อีกครั้งทางคณิตศาสตร์สำหรับรูป 4 เหลี่ยมมุมฉากใด ๆ (ใช้ความรู้เรื่องจุด Centroid และกฎของ Cosin น่าจะได้สูตรสำเร็จทางคณิตศาสตร์ <== ต้องให้ไปลองไปหาสูตรสำเร็จกันเองนะครับ คงไม่ยาก...) และสันนิษฐานว่า Alogorithm นี้น่าจะใช้ได้กับรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานด้วยครับ ส่วนรูปสี่เหลี่ยมอื่น ๆ ยังไม่มี Algorithm ครับ
- สำหรับรูป 5 เหลี่ยมมีจุดที่มองไม่เห็น 3 จุด ยังไม่มี Algorithm เหมือนกัน ดังรูป


ผมสันนิษฐานว่าสำหรบ n เหลี่ยมใด ๆ เมื่อ n มากกว่าหรือเท่ากับ 3 จะมีจุดที่มองไม่เห็น n-2 จุด ครับ และแขนของมุมที่จุดนั้นทำมุมกัน 120 องศา (เหมือนรังผึ้ง) และหลักการคิดดังกล่าวเป็นวิธีการคิดที่ดีที่สุด แต่ใช้อะไรเป็นข้อสนับสนุนเอ๋ย โปรดติดตาม เพราะเข้าใจว่าน่าจะชัดเจนแล้ว แต่ต้องรอให้อภิปรายกันอีกซักหน่อยครับ... ไม่งั้นเหมือนคุยกับตัวเอง!! ฮิ ๆ เพราะเป็น Math Game Show ต้องมี ผู้ดำเนินรายการ ผู้เล่น ผู้ดู ครับผม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #21  
Old 15 พฤศจิกายน 2008, 00:39
คุณชายน้อย คุณชายน้อย ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าหยก
 
วันที่สมัครสมาชิก: 05 กรกฎาคม 2008
ข้อความ: 156
คุณชายน้อย is on a distinguished road
Default

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
+++++++++ บทสรุปของ Math Game Show ++++++++++++
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ Prof.Jin Akiyama แห่งแดนซามูไร ที่ทดลองอะไรหลาย ๆ อย่างให้ผมดู เพื่อให้ผมสงสัย และหาคำตอบได้ด้วยตนเองว่าเกิดอะไรขึ้น และผลลัพธ์ของเกมจะเป็นอย่างไร... เก็บกรุไว้หลายปี... เอามานั่งเรียงความคิดใหม่...คราวนี้ก็ถึงคราวบางอ้อแล้ว ฮิ ๆ

1. จากการทดลองกับน้ำฟองสบู่ทำไมแขนของมุมที่จุดที่มองไม่เห็นต้องมีมุม 120 องศา จึงเกิด Idea การสร้างตัวแบบจำลองฟองสบู่(สีส้ม) ดังรูป


ทดลองต่อไปว่าฟองสบู่ถูกแรงบีบอัดอากาศรอบทิศทาง เกิดอะไรขึ้น? ดังรูป


และแล้วแขนของมุมที่จุดที่จุดที่เรามองไม่เห็นต้องมีมุม 120 องศาจริง ๆ
และแล้วก็เกิดข้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดล่ะ ค้น ๆ คิด ๆ จนกระทั่งถึงบางอ้อ!! ว่า ฟิล์ม(films) ของสบู่ หรือแถบสบู่ จะต้องทำพื้นที่ของฟิล์มให้สัมผัสกับอากาศรอบตัวของมันเองให้น้อยที่สุดนั่นเอง ... ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่

2. แต่เราต้องหาข้อยืนยันด้วยเหตุและผลทางคณิตศาสตร์ว่าทำไมแขนของมุมที่จุดที่เรามองไม่เห็นต้องมีมุม 120 องศา จึงคิด ๆ ค้น ๆ แล้วก็ถึงบางอ้อว่าเกิดจากเจ้านี่เอง ดังรูป


รูปด้านขวาคือฟองสบู่คู่ที่ซ้อนกัน (เพราะแรงกดอากาศภายนอก) และรูปด้านซ้ายเป็นฟองสบู่คู่ที่ซ้อนกัน และมีฟองสบู่อีก 1 ลูกที่ซ้อนคลุมบริเวณที่ซ้อนกันของฟองสบู่คู่

จึงเริ่มคิด ๆ ค้น ๆ จนกระทั่งถึงบางอ้อ ฮิ ๆ ตัดตอนมาอธิบายให้ดูหน้า 12-13 ดังรูป


เหมือนที่คิดไว้จริง ๆ ว่าทำไมต้องมีแขนของมุมที่จุดที่เรามองไม่เห็นต้องมีมุม 120 องศา และแบบที่คิดไว้คือสำหรับรูปสี่เหลี่ยม n เหลี่ยมเมื่อ n มากกว่าหรือเท่ากับ 3 มีจุดที่มองไม่เห็นอยู่ n-2 จุด และแขนของมุมที่จุดนั้นคือ 120 องศา

ใน Case ของเราเป็น ${\mathbb{R} }^{3}$ เพราะเป็นการจำลองแบบ 3 มิติ (n = 3) จึงต้องมีฟองสบู่ n-1 = 2 ฟองสบู่ที่ซ้อนกัน(ซึ่งก็คือฟองสบู่คู่) และมีฟองสบู่อีก n-2 = 1 ฟอง ที่ซ้อนคลุมบริเวณที่ซ้อนกันกันของฟองสบู่คู่ และแขนของมุมที่จุดนั้นคือ 120 องศา จริง ๆ ส่วนจุดที่มองไม่เห็นจะมีอยู่ n-2 จุดหรือไม่นั้น ยังต้องรอการพิสูจน์ต่อไป

แขนของมุมที่จุดที่มองไม่เห็นคือ 120 องศานั้น เป็นจริงเมื่อ n = 2,3,4 เท่านั้น และเมื่อ n = 2 จึงทำให้ตอบโจทย์ของเราได้หมด เพราะพื้นที่อยู่ใน 2 มิตินั่นเอง ส่วน n ที่นอกเหนือจากนี้ยังไม่มีใครพิสูจน์ครับผม และจะมีจุดที่มองไม่เห็นคือ n-2 จุดหรือเปล่าก็ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป .... ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่

จบบริบูรณ์ .... ผู้ดำเนินรายการ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #22  
Old 15 พฤศจิกายน 2008, 13:03
nooonuii nooonuii ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎทั่วไป
 
วันที่สมัครสมาชิก: 25 พฤษภาคม 2001
ข้อความ: 6,408
nooonuii is on a distinguished road
Default

สำหรับปัญหาเกี่ยวกับ soap bubble
มีอยู่ conjecture หนึ่งที่คนไทยเป็นคนพิสูจน์ได้
ลองดูที่นี่ครับ

วัชรินทร์ วิชิรมาลา
__________________
site:mathcenter.net คำค้น
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #23  
Old 09 พฤษภาคม 2009, 21:29
Juniors's Avatar
Juniors Juniors ไม่อยู่ในระบบ
หัดเดินลมปราณ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 30 พฤษภาคม 2008
ข้อความ: 35
Juniors is on a distinguished road
Default

ผมชอบมากเลยครับ ปัญหา 4 จุด
ว่าแต่มี paper พิสูจน์ไหมครับว่าต้องเล็กที่สุด
ขอ 3 จุดด้วยครับ เพราะถ้ามีจุดภายใน P ใน ABC แล้ว min(PA+PB+PC) เกิดเมื่ออยุ่ที่ fermat point นั่นคือจุดที่มีมุม APB=BPC=CPA=120 องศา
แต่ถ้ามันมี 2 จุดขึ้นมาหละครับ จะพิสูจน์อย่างไร
__________________
There are only two ways to live your life.
One is as though nothing is a miracle.
The other is as though everything is a miracle.

5th POSN: Gold medal
IPST 2008: Gold medal


Friendship:
Dektep RoSe_JoKer Anonymous314 owlpenguin tatari_nightmare
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #24  
Old 10 พฤษภาคม 2009, 03:50
TOP's Avatar
TOP TOP ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎขั้นสูง
 
วันที่สมัครสมาชิก: 27 มีนาคม 2001
ข้อความ: 1,003
TOP is on a distinguished road
Default

ไหนๆก็มีคนขุดหัวนี้ขึ้นมาแล้วก็เลยอยากเพิ่มข้อมูลให้สักหน่อย

ในกรณีที่ต้องการหาจุดเชื่อมต่อ $P$ ไปยัง 3 จุด $A, B, C$ โดยให้ $PA + PB + PC$ มีค่าน้อยที่สุดนั้น Jacob Steiner ได้ให้วิธีหาจุด $P$ ดังกล่าว ดังนี้
  • หากมีมุมภายใน $\triangle ABC$ มุมหนึ่งมีขนาดตั้งแต่ $120^\circ$ ขึ้นไป สมมติว่ามุมนั้นคือ $C$ จะได้ว่า จุด $P$ จะทับกับจุด $C$
  • หากมุมภายในทุกมุมของ $\triangle ABC$ มีขนาดน้อยกว่า $120^\circ$ จะได้ว่าจุด $P$ คือจุดที่ทำให้ $\angle APB = \angle BPC = \angle CPA = 120^\circ$
จุด P ที่เราต้องการหา มีชื่อเรียกหลายชื่อ หนึ่งในนั้นคือ Steiner Point

แนวคิด

สมมติว่า จุด $P$ คือจุดที่เราต้องการหา และมีระยะ $PA, PB, PC$ เป็น $a, b, c$ ตามลำดับ

มีความเป็นไปได้ 2 ประการคือ
  1. จุด $P$ ทับกับจุดยอด $A, B, C$

    สมมติว่ามุมภายใน $\triangle ABC$ มุม $C$ มีขนาดโตมากที่สุด และจะได้ $AB$ เป็นด้านที่มีความยาวมากที่สุด เห็นได้ชัดว่า จุด $P$ ต้องทับกับจุด $C$ เท่านั้น เพราะ $CA + CB$ มีค่าน้อยที่สุด

  2. จุด $P$ ไม่ทับกับจุดยอด $A, B, C$

    วาดวงกลม $K$ รอบจุด $C$ มีรัศมี $c$
    จุด $P$ ต้องอยู่บนวงกลม $K$ โดยที่ทำให้ $PA + PB$ มีค่าน้อยที่สุด

    แบ่งได้อีกเป็น 2 กรณีคือ
    • จุด $A$ หรือจุด $B$ อยู่บนหรือภายในวงกลม $K$
      สมมติว่าจุด $A$ อยู่บนหรือภายในวงกลม
      ในกรณีนี้จุด $P$ จะไม่ทับกับจุดยอด $A, B, C$ (จากเงื่อนไข)
      เราจะพบว่า $a + b \geqslant AB$ (อสมการสามเหลี่ยม) และ $c \geqslant AC$ (จากเงื่อนไข)
      ดังนั้น $a + b + c \geqslant AB + AC$
      แสดงว่า จุด $P$ ที่เราต้องการนั้นต้องทับกับจุด $A$ เกิดข้อขัดแย้งกับเงื่อนไข แสดงว่ากรณีนี้เป็นไปไม่ได้

    • จุด $A$ และจุด $B$ อยู่ภายนอกวงกลม $K$

      Name:  Steiner's-Problem.gif
Views: 2368
Size:  2.8 KB

      จุด $P$ บนวงกลม $K$ ที่ทำให้ค่า $PA + PB + PC$ มีค่าน้อยที่สุดนั้น คือจุด $P$ ที่ทำให้มุมตกกระทบกับเส้นสัมผัสวงกลมมีค่าเท่ากัน ($\angle APD = \angle BPE$) เราจึงได้ว่า $\angle APC = \angle BPC$

      พิจารณาในทำนองเดียวกัน โดยวาดวงกลม $L$ รอบจุด $A$ มีรัศมี $a$ และ วาดวงกลม $M$ รอบจุด $B$ มีรัศมี $b$ ผลที่ได้คือ $\angle APC = \angle BPC = \angle APB$

      จึงได้ว่า $\angle APC = \angle BPC = \angle APB = 120^\circ$ นั่นเอง
สำหรับวิธีการหาจุด Steiner Point ในกรณีที่จุดนั้นอยู่ภายในสามเหลี่ยม(มุมภายในสามเหลี่ยมทุกมุมมีขนาดน้อยกว่า $120^\circ$) อย่างง่ายโดยวิธีทางเรขาคณิต ทำได้ดังนี้
สมมติให้ด้าน $BC$ มีความยาวมากที่สุด
  1. สร้างสามเหลี่ยมด้านเท่าบนด้านที่มีความยาวมากที่สุด ในที่นี้คือ $\triangle BCX$
  2. สร้างวงกลมล้อมรอบ $\triangle BCX$
  3. ลาก $XA$
  4. จุดตัดกันของ $XA$ กับวงกลมคือ จุด S คือ จุด Steiner Point ที่เราต้องการ
Name:  Steiner's-Construction.gif
Views: 1787
Size:  2.4 KB

ทำไมจุดตัดดังกล่าวเป็นจุด Steiner Point ?
  1. $\angle BSC = 120^\circ$ เพราะว่า $\angle BXC = 60^\circ$ (มุมภายในสามเหลี่ยมด้านเท่า) และผลรวมมุมตรงข้ามสี่เหลี่ยมแนบในวงกลมได้ $180^\circ$
  2. $\angle BSA = 120^\circ$ เพราะว่า $\angle BSX = 60^\circ (\angle BSX = \angle BCX)$ และผลรวมมุมประชิดบนเส้นตรงได้ $180^\circ$
  3. $\angle CSA = 120^\circ$ เพราะว่า $\angle CSX = 60^\circ (\angle CSX = \angle CBX)$ และผลรวมมุมประชิดบนเส้นตรงได้ $180^\circ$
หมายเหตุ: ที่มา จากหนังสือ "What is Mathematics" และ "Excursions in Modern Mathematics"
__________________
The difference between school and life?
In school, you're taught a lesson and then given a test.
In life, you're given a test that teaches you a lesson.

10 พฤษภาคม 2009 03:51 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ TOP
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #25  
Old 10 พฤษภาคม 2009, 09:11
TOP's Avatar
TOP TOP ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎขั้นสูง
 
วันที่สมัครสมาชิก: 27 มีนาคม 2001
ข้อความ: 1,003
TOP is on a distinguished road
Default

คำอธิบายเพิ่มเติมของ

อ้างอิง:
จุด $P$ บนวงกลม $K$ ที่ทำให้ค่า $PA + PB + PC$ มีค่าน้อยที่สุดนั้น คือจุด $P$ ที่ทำให้มุมตกกระทบกับเส้นสัมผัสวงกลมมีค่าเท่ากัน ($\angle APD = \angle BPE$)
หากเราพิจารณาโลคัสของจุดซึ่ง มีผลรวมของระยะจากจุดนั้นไปยัง $A, B$ เป็นค่าคงที่ จะได้ออกมาเป็นวงรีนี่เอง (นิยามของวงรีในภาคตัดกรวย)

Name:  Steiner's-Problem-Reason.gif
Views: 2960
Size:  5.1 KB

จากรูปเราจะพบว่า จุดที่อยู่บนวงรีสีชมพู มีผลรวมของระยะจากจุดไปยัง $A, B$ เป็นค่าคงที่เท่ากันหมด และแน่นอนว่าค่าคงที่นี้มีค่าน้อยกว่า จุดที่อยู่บนวงรีสีแดง และจุดที่อยู่บนวงรีสีน้ำเงิน

จุด $P$ ที่มีค่า $PA + PB$ น้อยที่สุดโดยที่อยู่บนวงกลม $K$ ก็คือจุดบนตำแหน่งที่วงรีสัมผัสกับวงกลมนั่นเอง
ณ จุดสัมผัส $P$ เราลากเส้นสัมผัส $DE$ ขึ้นมา

ในการพิจารณาทำนองเดียวกับวงกลม เราจะพบว่า จุดบนเส้นตรง $DE$ ที่ทำให้ระยะจากจุด $A$ ไปยังจุดนั้น รวมกับระยะจากจุดนั้นกลับมาจุด $B$ มีค่าน้อยที่สุด ก็คือ จุด $P$ เช่นกัน

ตรงจุดนี้ หากใครมีความรู้เรื่องการสะท้อน ก็จะเข้าใจได้ว่าจุด $P$ บนเส้นตรงนี้มีสมบัติว่า $\angle APD = \angle BPE$
__________________
The difference between school and life?
In school, you're taught a lesson and then given a test.
In life, you're given a test that teaches you a lesson.
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #26  
Old 06 มิถุนายน 2009, 14:20
The boy god of math's Avatar
The boy god of math The boy god of math ไม่อยู่ในระบบ
เริ่มฝึกวรยุทธ์
 
วันที่สมัครสมาชิก: 15 พฤษภาคม 2009
ข้อความ: 17
The boy god of math is on a distinguished road
Default

อะไร666666666666
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #27  
Old 05 กันยายน 2009, 19:55
beginner01 beginner01 ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าหยก
 
วันที่สมัครสมาชิก: 15 กันยายน 2008
ข้อความ: 177
beginner01 is on a distinguished road
Default

http://en.wikipedia.org/wiki/Steiner_point
__________________
จะคิดเลขก็ติดขัด จะคิดรักก็ติดพัน
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #28  
Old 05 กันยายน 2009, 22:38
เอกสิทธิ์'s Avatar
เอกสิทธิ์ เอกสิทธิ์ ไม่อยู่ในระบบ
กระบี่ประสานใจ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 30 กรกฎาคม 2009
ข้อความ: 602
เอกสิทธิ์ is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ คุณชายน้อย View Post
--- ไม่สงวนสิทธิ์ ทุกระดับชั้นตอบได้ แต่ทางที่ดีควรจะเป็นอุดมศึกษา หรือมากกว่า เพราะเดี๋ยวจะเจอ Oh My God ---

กติกาการเล่น ...
1. จำลองสถานการณ์ว่าตัวเองเป็นนักออกแบบผังเมือง
2. ได้รับ order ให้ทำการสร้างถนนเชื่อมเมือง 4 เมืองคือ เมือง A,B,C,D ดังรูป เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ นักออกแบบจึงต้องทำการสร้างถนนให้มีความยาวรวมกันน้อยที่สุด



คำถาม :
1. สมมติ เมืองทั้ง 4 เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ดังรูป นักออกแบบจะต้องสร้างถนนอย่างไร ? ใช้หลักการอะไรคิดดี ?
2. สมมติ เมื่องทั้ง 4 ไม่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส นักออกแบบจะต้องสร้างถนนอย่างไร ? ใช้หลักการเดิมได้มั้ย ?
3. ถ้ามีเมืองเพิ่มขึ้นอีก 1 เมือง , 2 เมือง , 3 เมือง , ... จะทำอย่างไร คิดแบบเดิมได้มั้ย ?
4. แน่ใจหรือว่าที่ออกแบบไว้ จะดีที่สุด ขอเหตุผลสนับสนุน

หมายเหตุ : ให้ตอบเป็นข้อเป็นข้อ ไม่ต้องตอบทั้งหมด เพราะเดี๋ยวจะเจอ Oh My God!!
แนะนำ : ให้ทดสอบการสร้างถนนจาก 3 เมืองก่อน ได้แล้วค่อยมา 4 เมือง
(ปล. ให้จำลองเมืองเป็นจุด A,B,C,D แล้ว Post มาเป็นไฟล์รูปภาพนะครับ)
รูปไม่เห็นขึ้นเลยครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
ตั้งหัวข้อใหม่ Reply



กฎการส่งข้อความ
คุณ ไม่สามารถ ตั้งหัวข้อใหม่ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบหัวข้อได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์และเอกสารได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความของคุณเองได้

vB code is On
Smilies are On
[IMG] code is On
HTML code is Off
ทางลัดสู่ห้อง


เวลาที่แสดงทั้งหมด เป็นเวลาที่ประเทศไทย (GMT +7) ขณะนี้เป็นเวลา 17:37


Powered by vBulletin® Copyright ©2000 - 2024, Jelsoft Enterprises Ltd.
Modified by Jetsada Karnpracha