Mathcenter Forum  

Go Back   Mathcenter Forum > คลายเครียด > ฟรีสไตล์
สมัครสมาชิก คู่มือการใช้ รายชื่อสมาชิก ปฏิทิน ข้อความวันนี้

ตั้งหัวข้อใหม่ Reply
 
เครื่องมือของหัวข้อ ค้นหาในหัวข้อนี้
  #1  
Old 05 เมษายน 2007, 22:47
Roos's Avatar
Roos Roos ไม่อยู่ในระบบ
สมาชิกใหม่
 
วันที่สมัครสมาชิก: 23 มีนาคม 2007
ข้อความ: 7
Roos is on a distinguished road
Default อยากรูความคิดเห็นว่าเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้รึปล่าวนะ

*~คนเราเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อเรียน ?
*~คนฉลาด มีเกณฑ์อะไรในการวัด ความรู้อย่างเดียวหรือ ?

ส่วนตัวนะครับ ถ้าพูดถึงคนฉลาดผมจะบอกว่าความรู้ไม่สำคัญก้อไม่ได้ แต่ว่าจะบอกว่าสำคัญสิ่งเดียวก้อไม่ได้เช่นกัน เราควรดูกันที่ความสามารถและ มีนิสัยที่เข้ากับผู้อื่นได้ นะครับ กระผมคิดว่า
*ถ้าคุณมีเพียงความรู้อย่างเดียวเราก้อเอาตัวไม่รอด
*ถ้าคุณมีอุปนิสัยที่แย่คุณจะไม่มีใครคบ
*แต่ถ้าคุณมีอุปนิสัยที่ดีทุกๆคนที่มีความสามารถในด้านต่างๆก็จะยื่นมือมาช่วยคุณ ซึ่งความสามารถของแต่ละคนมีความแตกต่างกันซึ่งมีไว้ทำอะไรนะหรอ.......มีไว้เพื่อตัวคุณเอง และผู้อื่นไงหละ

อยากรู้ความคิดเห็นของคนอื่นมั่งอ่ะครับ

05 เมษายน 2007 22:48 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ Roos
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #2  
Old 05 เมษายน 2007, 23:03
M@gpie's Avatar
M@gpie M@gpie ไม่อยู่ในระบบ
ลมปราณไร้สภาพ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 09 ตุลาคม 2003
ข้อความ: 1,227
M@gpie is on a distinguished road
Default

คนเราเกิดมาเพื่ออะไร ? นี่เราต้องหาเองครับ คงไม่มีคนบอกได้
คนฉลาดมีอะไรเป็นเกณฑ์วัด ? คงไม่มีอะไรบอกได้แน่นอนหรอกครับเกรดเฉลี่ยที่ใช้กันทุกวันก็เป็นเครื่องชี้วัดทางสังคมเท่านั้นเอง

ส่วนความเห็นที่เหลือของน้องพี่คิดว่าถูกต้องแล้วครับมันเป็นลักษณะพื้นฐานทางสังคมที่ควรจะมีให้คนอื่น โดยที่ ตัวเองไม่เดือดร้อนและไม่เดือนร้อนคนอื่น

พี่คิดว่าเราทำสิ่งที่เราชอบเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ
__________________
PaTa PatA pAtA Pon!
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #3  
Old 05 เมษายน 2007, 23:43
sck's Avatar
sck sck ไม่อยู่ในระบบ
ลมปราณคุ้มครองร่าง
 
วันที่สมัครสมาชิก: 12 มกราคม 2003
ข้อความ: 256
sck is on a distinguished road
Send a message via MSN to sck
Default

*~คนเราเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อเรียน ?
การเรียนมันเป็นเพียงกิจกรรมในการดำเนินชีวิตอย่างหนึ่งเท่านั้นครับ
*~คนฉลาด มีเกณฑ์อะไรในการวัด ความรู้อย่างเดียวหรือ ?
คำว่าความรู้มันกว้างใหญ่มากๆเลยครับ คงไม่มีใครที่จะรู้ดีได้ในทุกๆเรื่อง
__________________
เมื่อคิดจะทำอะไร หากคิดมากไป เมื่อไหร่จะได้ลงมือทำ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #4  
Old 06 เมษายน 2007, 03:03
nooonuii nooonuii ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎทั่วไป
 
วันที่สมัครสมาชิก: 25 พฤษภาคม 2001
ข้อความ: 6,408
nooonuii is on a distinguished road
Default

คนเราเกิดมาเพื่ออะไร ? เป็นคำถามที่ดีมากๆเลยครับ ถ้าเรารู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไรชีวิตเราจะมีความสุขครับ ถึงแม้ว่าบางครั้งเราอาจจะต้องลำบากกับการใช้ชีวิตแบบนั้น การศึกษาก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สอนให้คนรู้ว่าเขาเกิดมาเพื่ออะไร แต่ความรู้อย่างเดียวไม่ได้เป็นตัวกำหนดคุณภาพของคนครับ ตัวอย่างค้านมีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป

เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของเด็กชนบทคนหนึ่งซึ่งตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง และรู้ว่าเขาเกิดมาเพื่ออะไร เขาคนนั้นก็คือผมเองครับ

ผมเริ่มรู้ตัวว่าผมเกิดมาเพื่ออะไรก็เกือบจะสายไปเสียแล้วครับ แต่ก็ยังโชคดีที่โชคชะตานำพาให้เดินไปในทางที่ถูกต้อง ก่อนจบม.ปลายไม่กี่เดือนซึ่งผมว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตนักเรียนไทยเืกือบทุกคน อาจารย์ฝ่ายปกครองเรียกผมไปพบ อาจารย์ท่านนี้เป็นคนที่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผมมากที่สุดคนหนึ่ง ทั้งผลการเรียน นิสัยใจคอ หรือแม้แต่ฐานะทางบ้าน ท่านเรียกผมไปคุยก็เพราะอยากรู้ว่าผมเรียนจบไปแล้วผมจะไปใช้ชีวิตเป็นอะไร ท่านเองก็คงอยากให้ผมได้ดี ท่านถามผมว่า

"(nooonuii) คุณอยากเป็นอะไร?"

ผมนั่งอึ้งไปพักใหญ่ คิดในใจ

"เออ เราจะเป็นอะไรดีหนอ"

บอกตามตรงว่าตอนนั้นยังไม่มีคำตอบในใจเลยครับว่าเราอยากเป็นอะไร รู้แต่เพียงว่าตั้งแต่เรียนมาจนจะจบม.ปลายอยู่แล้ว เราชอบวิชาคณิตศาสตร์มากที่สุด วิชาอื่นเรียนได้เกรด 2 เกรด 3 ก็มีถมไป มีวิชาเดียวที่เขาบอกว่าเรียนกันยากเย็นแต่เราชอบ ก็คือ คณิตศาสตร์ และเราทำคะแนนได้ดีมาตลอด
ผมเลยตอบอาจารย์ท่านนั้นไปว่า

"ผมอยากเป็นนักคณิตศาสตร์ครับ"

ตอบไปดื้อๆซะงั้น ทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักคณิตศาสตร์คือใคร และเขาทำอะไรกันบ้าง รู้แต่เพียงว่าเขาศึกษาวิชาคณิตศาสตร์กันและต้องมีวิชาคณิตศาสตร์ให้เราเรียนเยอะแน่ๆถ้าเราเลือกเรียนสายนี้ ตอนนั้นคิดอยู่แค่นี้เองครับ

หลังจากตอบไปแล้วอาจารย์แกก็อึ้งไปเลยครับ เพราะเกรดผมสามารถเรียนวิศวะ หรือ แพทย์ได้สบายๆ อาจารย์ก็เลยพูดออกมาว่า

"ค่อยเป็นก็ได้ นักคณิตศาสตร์ เรียนหมอก่อนได้ไหม ?"

ผมก็นั่งเงียบ ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นั่งบิดไปบิดมา ในใจตอนนั้นไม่เป็นแน่ๆหมอเนี่ย เพราะไม่ชอบท่องจำมาแต่ไหนแต่ไร แต่วิศวะก็กำลังคิดอยู่ว่าจะไปรอดไหม

"ผมจะเป็นนักคณิตศาสตร์ครับ"

ตอบยืนยันอาจารย์ไปทั้งๆที่ไม่ค่อยรู้อะไรมาก
สุดท้ายอาจารย์ก็ยอมแพ้คนดื้ออย่างผมครับ แล้วก็ปล่อยผมออกมาด้วยอาการงงๆ ผมเองก็งงเหมือนกันครับ

ใจจริงตอนนั้นคืออยากเป็นอาจารย์ครับ สอนวิชาคณิตศาสตร์นี่แหละ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนเงียบๆ พูดไม่เก่ง และอธิบายอะไรให้ใครฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ผมว่าผมคงเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากทำงานทางด้านนี้

ผมเลยตัดสินใจสอบเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรี ด้วยการเลือก

วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ อันดับหนึ่ง
ศึกษาศาสตร์ คณิตศาสตร์ อันดับสอง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เทคโนโลยีการประมง อันดับสาม

ตอนแรกเลือก วิศวกรรมศาสตร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ อันดับหนึ่งครับ แต่ก็ตัดสินใจเปลี่ยนก่อนส่งใบสมัครไม่กี่วัน เพราะคิดว่ายังไงเสียเราก็อยากเรียนคณิตศาสตร์จริงๆ แล้วเราจะไปทนทุกข์ทรมานกับการเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบทำไม สุดท้ายก็สอบเข้าเรียน วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ได้สมใจครับ

"คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ยากมากๆ" ผมไม่เคยปฏิเสธคำกล่าวนี้เลย แต่ถึงมันจะยากก็มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตกับมันครับ ผมสามารถนั่งคิดโจทย์คณิตศาสตร์ข้อเดียวได้เป็นวันๆ บางทีคิดเป็นสัปดาห์ก็มี ยิ่งเรียนสูงขึ้นความยากก็จะมากขึ้นตามไปด้วย แต่ผมก็ไม่เคยท้อแท้กับการเรียนเลยแม้แต่น้อย กลับมองว่ามันเป็นเรื่องสนุกไปเสียนี่ ไม่รู้ว่ามีใครที่คิดแบบผมบ้างรึเปล่า หรือว่าผมเป็นอยู่คนเดียว

ถึงตอนนี้ผมอยากบอกอาจารย์ท่านนั้นเหลือเกินว่าผมไม่ได้คิดผิดที่เลือกเดินมาบนเส้นทางสายนี้ เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่า

ผมเกิดมาเพื่อเป็นนักคณิตศาสตร์ครับ
__________________
site:mathcenter.net คำค้น
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #5  
Old 06 เมษายน 2007, 08:35
Coco's Avatar
Coco Coco ไม่อยู่ในระบบ
หัดเดินลมปราณ
 
วันที่สมัครสมาชิก: 23 กรกฎาคม 2005
ข้อความ: 48
Coco is on a distinguished road
Default

เอามาจาก blog นี้ http://wphumpong.blogspot.com/


เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

สองวันก่อน
พึ่งเขียนเกี่ยวกับปัญหาโลกแตกไป
วันนี้
มีคนถามอีกแล้วครับ
"เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?"

ผมตอบไปประมาณว่า
"จะสงสัยไปทำไม
เกิดมาแล้วก็หาความสุขใส่ตัวไปดิ"

ตอบง่ายแต่เข้าใจยากครับ
ถ้าถามว่าความสุขที่ว่าคืออะไรล่ะ
ก็คงมีคำตอบแตกต่างกันไป

พระพุทธเจ้าสอนว่า
"นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ"
"สุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบนั้นไม่มี"

บางคนก็ว่า
"ความสุข คือการได้อยู่ร่วมกับพระเจ้า"

บ้างก็ว่า
"ความสุข คือการมีเงินมากๆ"

หรือสำหรับประเทศอดอยาก
"ความสุข คือการมีอาหารดีๆ กินซักมื้อ"
ฯลฯ

พักเรื่องความสุขไว้ก่อนดีกว่า
เดี๋ยวจะยาวเกินไป

กลับมาคำถามเดิม
"เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?"
ถ้าพยายามจะตอบ... จะตอบว่าอย่างไร

"อยู่ให้มีชีวิตรอดไปวันๆ"

"ทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว"

หรือ
"เพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่แก่มนุษยชาติ"

เห็นเปล่าครับว่า
เป็นปัญหาโลกแตกจริงๆ
และถ้าตอบได้
ก็ไม่รู้ว่าจะได้อะไรขึ้นมาด้วย

เพราะ
ในที่สุด... คำตอบก็คือ
เราเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่เราอยากทำอยู่ดี
(ความสุขก็เกียวกับความอยากนี่แหละ)

แล้วเราอยากทำอะไร?
แน่นอนว่า
แต่ละคนมีความอยากไม่เหมือนกัน

Maslow ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับ
ความอยากของคนได้น่าสนใจไว้ใน
"ลำดับขั้นของความต้องการของมนุษย์"
ซับซ้อน อธิบายยากนิดนึง
ไว้เขียนถึงคราวหน้าละกันครับ
__________________
สนใจคณิตศาสตร์ครับ ช่วยชี้แนะด้วยครับ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #6  
Old 06 เมษายน 2007, 13:12
TOP's Avatar
TOP TOP ไม่อยู่ในระบบ
ผู้พิทักษ์กฎขั้นสูง
 
วันที่สมัครสมาชิก: 27 มีนาคม 2001
ข้อความ: 1,003
TOP is on a distinguished road
Default

อ้างอิง:
ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ Roos View Post
*~คนเราเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อเรียน ?
คนเราเกิดมาก็เพราะยังมีเหตุให้เกิด ไม่เกี่ยวกับว่าเกิดมาเพื่ออะไร เหตุเกิดดับ ก็ไม่เกิดอีก ว่าแล้วก็ฝากพุทธประวัติให้อ่านสักสองเรื่อง

พระพุทธดำรัสครั้งแรกที่ทรงเปล่งออกมา ซึ่งยังความบันดาลใจแก่ผู้ฝึกวิปัสนาในเวลาต่อมาคือ

ในคืนที่พระองค์ตรัสรู้และทรงทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาด และเมื่อถึงตอนนั้นจิตของพระองค์จึงเป็นจิตที่ทรงพลังอำนาจมาก ความสามารถอย่างหนึ่งของจิตที่ทรงพลังคือ สามารถเห็นย้อนหลังไปถึงอดีตกาลไกลๆ ทรงสามารถระลึกถึงอดีตกาลไม่เฉพาะในชาตินี้ แต่ในชาติก่อนและชาติก่อนๆด้วย ได้ทรงเห็นชาติต่างๆในอดีตของพระองค์ ได้ทรงเกิดมาหลายครั้งหลายหนแล้ว

แต่ละชาติที่เกิดมาทรงทำอะไร คนที่มีชีวิตเกิดมาแล้วทำอะไรกันบ้าง

สิ่งที่คนเราทำคือ วิ่งๆ วิ่งอยู่ตลอดเวลา วิ่งอย่างไม่หยุดยั้ง และไม่อาจหยุดได้แม้สักขณะเดียว ได้แต่วิ่งๆ วิ่งต่อไป วิ่งเข้าไปหาความตาย นับแต่เวลาที่ถือกำเนิดมา คนเราก็เริ่มต้นวิ่ง และวิ่งต่อไปเรื่อย แม้แต่จะขอร้องว่า ขอให้ฉันได้หยุดสักนิดเถิดก็ไม่อาจจะทำได้ เรายังคงต้องวิ่งต่อไป วิ่งเข้าไปหาความตาย แล้วจากนั้นชีวิตก็เริ่มต้นใหม่อีก แล้วก็เริ่มต้นวิ่งอีก วิ่งๆ วิ่งเข้าไปหาความตายอีก และนี่คือสิ่งที่ได้ทรงทำในทุกชาติ

แล้วก็ทรงจำได้ว่า ในอดีตชาตินั้น บางชาติได้มีปราชญ์ผู้เฉลียวฉลาดบอกแก่พระองค์ว่า กงล้อของชีวิต กงล้อของการเกิดและความตาย กงล้อแห่งความทุกข์นั้น คนเราจะสามารถหลุดพ้นได้ก็ต่อเมื่อ รู้แจ้งชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง ใครกันที่สร้างบ้านใหม่ให้แก่เรา ใครกันที่สร้างร่างกายใหม่สำหรับเรา หลังการตายทุกครั้งจะมีร่างกายใหม่ที่พร้อมสำหรับเรา ถ้าเรารู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง เราก็จะพ้นจากความทุกข์นั้น และจะหลุดพ้นจากวงจรนี้

ได้ทรงสืบหาตัวผู้สร้างในชาติต่างๆ ได้ทรงพยายามสืบหาตัวผู้สร้างในแต่ละชาติที่ทรงเกิด ได้ทรงทำหลายสิ่งหลายอย่าง เช่นทำสมาธิภาวนาด้วยวิธีต่างๆ ทรมานร่างกายด้วยวิธีต่างๆ รวมทั้งประกอบพิธีกรรมมากมาย แต่แล้วก็ไม่ได้ผลอะไร ยังคงมีแต่ความทุกข์ชีวิตแล้วชีวิตเล่า ไม่ว่าจะมีชีวิตในระดับใด แม้ระดับสูงที่มีแต่ความสุขสบาย ความตายก็ยังมาถึงทั้งสิ้น

และความตายนี้เป็นทุกข์ ดังนั้นการเกิดนำมาแต่ความทุกข์และความทุกข์ บัดนี้พระองค์ทรงรู้แล้วว่าใครคือผู้สร้าง มันไม่สามารถจะสร้างบ้านให้พระองค์ได้อีกแล้ว จะสร้างบ้านได้อย่างไรถ้าไม่มีวัสดุสำหรับก่อสร้าง ในการสร้างบ้านต้องมีอิฐ หิน หรือปูน หรือไม้ หรือเหล็ก แต่สิ่งเหล่านั้นได้ถูกทำลายสิ้นแล้ว วัสดุก่อสร้างได้ถูกทำลายหมดแล้ว วัสดุก่อสร้างมีอะไรบ้าง

จิตของพระองค์ไม่มีสังขารที่จะทำให้มีการเกิดใหม่อีก ฉะนั้นจึงไม่มีตัณหาสำหรับอนาคตอีก ซึ่งก็หมายความว่าจะไม่มีสังขารใหม่ และสังขารเก่าก็ถูกกำจัดหมดไปแล้ว นี่คือความหลุดพ้น แล้วผู้สร้างคนไหนเล่าที่ทรงค้นพบในชาติเหล่านั้น เมื่อมองย้อนดูเพื่อสืบหาตัวผู้สร้าง พระองค์ก็ทรงเข้าใจว่า สัจธรรมคือความจริงแท้นั้นคือพระเจ้า สัจธรรมนั่นเองคือพระเจ้าที่แท้จริง แล้วพระองค์ก็ทรงศึกษาความจริง ด้วยการชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งมวล จนได้ทรงเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุด ทรงบรรลุธรรมแล้วก็ทรงหลุดพ้น หลุดพ้นโดยสิ้นเชิง

คนทุกคนสามารถที่จะไปถึงขั้นนั้นได้ ไม่เฉพาะแต่เจ้าชายสิทธัตถะโคตมะเท่านั้น ความหลุดพ้นไม่ได้ผูกขาดอยู่แต่เฉพาะเจ้าชายสิทธัตถะ ใครก็สามารถหลุดพ้นได้ แต่แน่นอนเส้นทางสายนี้ยาวไกลมาก แต่ถึงทางสายนี้จะยาวสักเพียงใด ถ้าเราก้าวเดินไปเรื่อยๆ เราก็จะต้องถึงจุดหมายปลายทางได้สักวันหนึ่ง

มีเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาลอยู่เรื่องหนึ่ง ขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ วัดพระเชตุวัน ที่นครสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศลในประเทศอินเดียตอนเหนือ ได้มีผู้มาปฏิบัติที่วัดพระเชตุวันเป็นจำนวนมาก มีทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งต่างพากันมาศึกษาธรรมะ มาปฏิบัติภาวนา ทุกๆวันในตอนเย็นจะมีการแสดงพระธรรมเทศนา ซึ่งมีคนจำนวนมากจากในเมืองพากันมาฟังด้วย

ในจำนวนนี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งได้มาเฝ้าพระพุทธองค์อย่างสม่ำเสมอ วันหนึ่งเขามาเร็วกว่าปกติเล็กน้อยและพบว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่พระองค์เดียว เขาดีใจมากจึงเข้าไปเฝ้าอย่างใกล้ชิด พร้อมกับก้มลงกราบและทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้า มีปัญหาข้อหนึ่งที่ติดอยู่ในใจตลอดเวลา แต่ไม่กล้าทูลถามในขณะที่มีคนมาเฝ้าอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะนี้เป็นโอกาสอันดีแล้ว ขอได้โปรดให้ความกระจ่างแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด พระเจ้าข้า”

เมื่อพระพุทธองค์ได้ฟังดังนั้น จึงมีดำรัสแก่ชายผู้นั้นว่า “หนุ่มน้อย ท่านมีปัญหาอะไร เกี่ยวเนื่องกับธรรมะอยู่ในใจอย่างไร ก็ขอให้ถามมา”

ชายผู้นั้นจึงกราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าได้มาที่อารามแห่งนี้ต่อเนื่องกันหลายปีแล้ว และเฝ้าสังเกตดูผู้คนที่นี่และได้พบว่า มีบางคนที่ได้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว พฤติกรรมของเขาเหล่านั้นตลอดจนวิถีการดำเนินชีวิตล้วนบ่งบอกว่า เป็นผู้ที่ได้บรรลุธรรมแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว และก็มีบางคนที่มีการพัฒนาทางธรรมะดีขึ้นกว่าเก่า แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่บรรลุธรรมอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ก็มีบางคนซึ่งรวมทั้งตัวข้าพระพุทธเจ้าเองด้วย ที่ยังคงมีสภาพเช่นเดิม คือไม่มีความก้าวหน้าเลย คำถามที่ใคร่ขอทูลถามพระองค์ก็คือ การที่ผู้คนทั้งหลายต่างพากันมาเฝ้าพระองค์เพราะพระองค์ทรงมีพระบารมีมาก ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเหลือ แต่คนที่มาเฝ้าพระองค์นั้น ยังมีที่บรรลุธรรมเพียงครึ่งเดียวก็มี และที่ยังไม่บรรลุธรรมเลยก็มี เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่าพระเจ้าข้า เหตุใดจึงไม่ทรงใช้พระบารมีของพระองค์ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ช่วยให้คนทุกคนที่มาเฝ้าได้บรรลุธรรมโดยทั่วหน้ากัน”

พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วทรงรำพึงว่า “พระองค์เองก็ทรงสอนสิ่งนี้อยู่ทุกวัน แต่ถ้าผู้ฟังไม่พยายามที่จะเข้าใจ จะทรงทำอะไรได้” ดังนั้นจึงทรงพยายามอธิบายกับชายผู้นั้นอีกครั้งหนึ่ง การอธิบายธรรมะของพระองค์นั้นจะแตกต่างกันไปตามความแตกต่างของกาลเวลาและภูมิธรรมของผู้ฟังแต่ละคน บางครั้งพระองค์ก็จะทรงใช้วิธีถามกลับ และครั้งนี้ก็เช่นกัน พระองค์ทรงถามกลับไปที่ชายผู้นั้นว่า “หนุ่มน้อยท่านมาจากไหน”

ชายหนุ่มตอบว่า “มาจากกรุงสาวัตถีพระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ได้ฟังดังนั้นจึงตรัสว่า “โอ้ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ใบหน้าของท่านบอกว่า ท่านไม่ใช่ชาวสาวัตถี ท่านจะต้องเป็นคนที่มาจากภาคอื่นเป็นแน่ ท่านจะต้องมาจากที่อื่น แล้วมาตั้งรกรากที่นี่”

ชายหนุ่มยอมรับว่า “ถูกแล้วพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าได้มาตั้งรกรากที่นี่เมื่อหลายปีก่อน ความจริงนั้นข้าพระพุทธเจ้ามาจากเมืองราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ อยู่ห่างจากที่นี่ไปทางทิศตะวันออกไกลมากอยู่”

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นจงบอกสิว่า เมื่อท่านมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ท่านได้ตัดขาดการติดต่อกับทางราชคฤห์หรือเปล่า ท่านไม่ได้ไปราชคฤห์อีกแล้วหรือ”

ชายหนุ่มทูลตอบว่า “มิได้พระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ายังคงมีญาติอยู่ที่นั่น และยังมีธุรกิจอยู่ที่นั่น ข้าพระพุทธเจ้ายังคงไปที่ราชคฤห์ทุกปี”

พระพุทธองค์จึงทรงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็จะต้องรู้จักเส้นทางจากที่นี่ไปราชคฤห์เป็นอย่างดีใช่หรือไม่”

ชายหนุ่มทูลตอบว่า “รู้จักดีพระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์จึงตรัสถามต่อไปอีกว่า “ถ้าเช่นนั้น เพื่อนๆของท่านที่นี่ก็ย่อมทราบสิว่า ท่านเป็นชาวราชคฤห์ และท่านเดินทางไปเยี่ยมเยือนราชคฤห์อยู่บ่อยๆ และท่านก็ต้องรู้จักเส้นทางจากที่นี่ไปราชคฤห์เป็นอย่างดี”

ชายหนุ่มทูลตอบว่า “ถูกแล้วพระเจ้าข้า เพื่อนๆที่สนิทของข้าพระพุทธเจ้าล้วนทราบความจริงข้อนี้ดี”

พระพุทธองค์จึงรับสั่งว่า “ถ้าเช่นนั้นจงบอกสิว่า มีบางคนเคยถามเส้นทางไปกรุงราชคฤห์จากท่านหรือไม่ แล้วท่านได้บอกเส้นทางให้เขาไป หรือว่าท่านเก็บไว้เป็นความลับ”

ชายหนุ่มทูลตอบว่า “ความลับอะไรได้พระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าอธิบายทุกอย่าง ให้รายละเอียดทั้งหมดว่า ถ้าเดินทางมุ่งหน้าไปทางตะวันออกโดยใช้เส้นทางสายนี้ เลี้ยวตรงทางนี้ จากนั้นเดินทางต่อไปก็จะถึงเมืองพาราณสี เมื่อเดินทางต่อไปอีกก็จะถึงเมืองคยา แล้วเดินตามทางนี้ต่อไปก็จะถึงราชคฤห์ ข้าพระพุทธเจ้าอธิบายเส้นทางทั้งหมดให้พวกเขาฟังโดยละเอียด”

พระพุทธองค์ตรัสถามต่อไปอีกว่า “ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ได้ฟังท่านอธิบายเส้นทางนี้ ก็จะต้องไปถึงราชคฤห์ทุกคนใช่หรือไม่”

ชายหนุ่มตอบว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรพระเจ้าข้า ถ้าเขาเพียงแต่รับฟัง แต่ไม่ออกเดินไปตามทางนี้แล้ว เขาจะไปถึงราชคฤห์ได้อย่างไรพระเจ้าข้า ลำพังคำอธิบายที่ข้าพระพุทธเจ้าบอกไปเพียงแค่นี้ จะไม่ช่วยให้ใครไปถึงราชคฤห์ได้”

พระพุทธองค์จึงรับสั่งว่า “นี่คือสิ่งที่ตถาคตจะบอกกับท่านละพ่อหนุ่ม มีคนมากมายที่มาหาตถาคตเพราะรู้ดีว่าตถาคตได้บรรลุธรรมแล้ว รู้ว่าตถาคตได้เดินทางไปบนเส้นทางแห่งความหลุดพ้นด้วยตนเอง และได้ไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว คนเหล่านั้นจึงมาหาตถาคตเพื่อซักถามเกี่ยวกับเส้นทางสายนี้ ซึ่งตถาคตก็บอกให้รู้ว่า นี่คือเส้นทางที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้น นี่คือวิธีที่จะเดินไปบนเส้นทางสายนี้ และนี่เป็นสถานีที่ท่านจะต้องได้พบบนเส้นทางสายนี้ แต่ถ้าคนบางคนเพียงแต่รับฟังแล้วก้มลงกราบ ๓ ครั้งและพูดว่า สาธุ สาธุ สาธุ แต่ไม่ก้าวเดินออกไปเลยแม้แต่ก้าวเดียวบนเส้นทางนี้ แล้วเขาจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไรกัน ถ้าใครสักคนจะเริ่มก้าวเดินเพียงก้าวเดียวไปบนเส้นทางนี้ เขาก็จะอยู่ใกล้จุดหมายปลายทางเข้าไปแล้วหนึ่งก้าว ถ้าใครก้าวเดินไป ๑๐๐ ก้าวบนเส้นทางสายนี้ เขาผู้นั้นก็จะอยู่ใกล้จุดหมายสุดท้ายเข้าไปอีก ๑๐๐ ก้าว และถ้าใครก้าวเดินไปจนสุดทางสายนี้ เขาก็ย่อมจะต้องถึงจุดหมายปลายทางอย่างแน่นอน คนทุกคนจะต้องก้าวเดินไปบนเส้นทางสายนี้ด้วยตนเองเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่มีใครอื่นใดจะสามารถแบกใครขึ้นบ่าเพื่อพาไปให้ถึงจุดหมายปลายทางได้”
__________________
The difference between school and life?
In school, you're taught a lesson and then given a test.
In life, you're given a test that teaches you a lesson.
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #7  
Old 15 พฤษภาคม 2007, 10:49
iMissU's Avatar
iMissU iMissU ไม่อยู่ในระบบ
จอมยุทธ์หน้าใหม่
 
วันที่สมัครสมาชิก: 14 พฤษภาคม 2007
ข้อความ: 68
iMissU is on a distinguished road
Default

เกิดมาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง.
__________________
อย่าท้อเมื่อทุกข์ใจ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
  #8  
Old 15 พฤษภาคม 2007, 10:53
meiji's Avatar
meiji meiji ไม่อยู่ในระบบ
เริ่มฝึกวรยุทธ์
 
วันที่สมัครสมาชิก: 14 พฤษภาคม 2007
ข้อความ: 23
meiji is on a distinguished road
Default

เ ร า ต้ อ ง มี ค ว า ม รู้ คู่ คุ ณ ธ ร ร ม น ะ ค ะ
__________________
~meiji~
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความนี้
ตั้งหัวข้อใหม่ Reply



กฎการส่งข้อความ
คุณ ไม่สามารถ ตั้งหัวข้อใหม่ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบหัวข้อได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์และเอกสารได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความของคุณเองได้

vB code is On
Smilies are On
[IMG] code is On
HTML code is Off
ทางลัดสู่ห้อง


เวลาที่แสดงทั้งหมด เป็นเวลาที่ประเทศไทย (GMT +7) ขณะนี้เป็นเวลา 05:31


Powered by vBulletin® Copyright ©2000 - 2024, Jelsoft Enterprises Ltd.
Modified by Jetsada Karnpracha