ตั้งวง & MUD : 2 ความต่างเกี่ยวกับวัยละอ่อน

[passer-by]

เมื่อวานผมฝ่าฝนไปดู หนังไทยเรื่อง ตั้งวง ที่ลิโด้มาครับ ก็เลยขอพ่วงเล่าทั้งตั้งวง และเรื่อง MUD ไปด้วยเลย เพราะเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่น เหมือนกัน

2 เรื่องนี้ เป็นหนังคนละ shade , คนละฝั่งทวีป แต่มีเด็กวัยละอ่อนเป็นส่วนผสมของหนัง ทั้งคู่

MUD เป็นหนัง indy ของอเมริกา ที่มี teaser เหมือนจะเป็นหนัง thriller แต่จริงๆเป็นหนัง drama ไม่ซับซ้อน พูดถึงการก้าวข้ามจากวัยเด็กไปสู่วัยรุ่น และความสัมพันธ์หลายรูปแบบ

ส่วนตั้งวง จะเป็นแนวเสียดสี ตั้งคำถามกับสังคม ผ่านเรื่องราวของเด็ก 4 คน แฝงการเมืองหน่อยๆ
----------------------------------------------------------------------------------
เล่าถึง MUD ก่อนครับ เพราะเข้าฉายตอนมิถุนา 2013 แต่ผมได้ดูตอนเป็น DVD เมื่อต้น สิงหาคม ด้วยแรงยุยงจากน้องสาว แถม review เมืองนอกยังได้คะแนนดีด้วย

MUD เป็นหนังที่พูดถึง เด็ก 2คนที่จับพลัดจับผลูไปเจอชายแปลกหน้า บนเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังหนีการตามล่าคดีฆ่าคนตาย แต่เนื้อเรื่องผูกให้ เด็ก 2คนนี้ไว้ใจชายแปลกหน้าคนนี้ และยินดีจะช่วยเหลือในหลายๆอย่าง เรื่องดำเนินไปแบบเอื่อยๆ และดูไม่ออกว่า จะจบยังไง จนถึงจุดแตกหักใน 20 นาทีสุดท้าย และเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของหลายๆชีวิตด้วย

รายละเอียดมากกว่านี้ลองไปหาแผ่นมาดูเองนะครับ

ส่วนตัวผม ก็ถือว่าเป็นหนังดีเรื่องนึง เป็นการสะท้อนการเรียนรู้ชีวิตของเด็กที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ผมอาจจะไม่อินมาก เท่าหลายคนที่ไปดูในโรง

--------------------------------------------------------------------------------------

ส่วน "ตั้งวง" ต้องบอกว่า เป็นหนังไทยที่ใน social network พูดถึงเยอะมาก จนทำให้ผมต้องไปดู trailer และตัดสินใจไปดูในที่สุด ซึ่ง ณ วันนี้ผมว่าเหลือแค่ลิโด้ สยาม ที่เดียวแล้วมั้งครับ ที่ฉายอยู่ ส่วนโรงใหญ่ๆ ไปเกือบหมดแล้ว ยิ่งต่างจังหวัด ผมว่าอาจจะไม่ได้ดูด้วยซ้ำ

ก่อนไปดู ผมคาดไว้ว่า หนังจะพูดถึงเรื่องความเชื่อของคนไทยที่ แม้จะสอนให้คิดแบบวิทยาศาสตร์ แต่ก็ขอพ่วงท้าย คำว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ไว้เสมอ

แต่พอไปดูจริง สิ่งที่ผมคาดไว้ กลับเป็นประเด็นรองนะ หนังมันพาเราไปไกลกว่านั้น มีทั้งเสียดสีการเมืองช่วงที่มี ศอฉ. และเผาราชประสงค์ พูดถึงวัฒนธรรม ญี่ปุ่น เกาหลี เห่อของนอก ที่แทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดคนหลายคน รวมทั้งเรื่องเพศที่ 3และเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เหมือนผู้กำกับ และคนเขียนบท พยายามจะบอกว่า เราอยู่ในสังคมที่ผสมผสาน จนเราหาเส้นแบ่งความดี ความไม่ดี ,ความเป็นไทย ความเป็นสากล , วิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ไม่เจอ มันดูสับสน ยุ่งเหยิงไปหมด

ผมเชื่อว่าแต่ละคนที่ได้ดู ก็จะอินกับ message จากหนังต่างๆ topic กันไป เพราะมันค่อนข้าง real เสมือนถูก uppercut แรงๆที่ปลายคาง สำหรับผม ผมสัมผัสได้ว่า ถึงแม้มนุษย์จะรู้ว่าอะไรดี อะไรไ่ม่ดี แต่พอถึงยามคับขันจริงๆ มนุษย์ก็กลัวเสียหน้า มนุษย์ก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัวก่อนเสมอ ซึ่งจะเห็นชัดในโค้งสุดท้ายของเรื่อง

อีก message นึงที่แอบหวั่นหน่อยๆ ก็คือ ถ้าสังคมอีก 10-20 ปี โตมากับเด็กและสังคมที่ใกล้เคียง 4 คนนี้มากๆ ประเทศไทยจะไปรอดมั้ยเนี่ย ยิ่งฉากที่ตัวเอกในเรื่องคนนึง สัมภาษณ์ทุนไปสิงคโปร์ มันสะเทือนใจผมมาก เพราะคำสัมภาษณ์แต่ละอย่าง มันบ่งบอกถึงธาตุแท้คนๆนั้นจริงๆ

สรุปว่า เป็นหนังเสียดสีที่น่าดูสุดๆของปีนี้ครับ

[lek2554]

ผมไม่ได้เข้่าโรงหนังมาประมาณ 30 ปีแล้วครับ

ที่มาร่วมแจมกระทู้ เพราะนึกว่าลิโด้กับสยามปิดไปแล้ว ตอนเรียนต้องรอขึ้นรถเมล์แถวนั้นทุกวัน

สกาลายังอยู่ไหมครับ ผมไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ 11 ปีแล้วครับ

[gon]

ผมอยู่กรุงเทพมาปีที่ 19 ดูหนังในโรงนับครั้งได้ครับ ไม่น่าจะเกิน 5 ครั้ง เรื่องแรก star wars หรือไม่ก็ id4 ที่ลิโด้หรือสกาล่าก็จำไม่ได้เหมือนกัน แล้วก็มี harry ภาค1 กับ the lord of the ring

ดังนั้น มันยังคงอยู่หรือไม่นี่จำไม่ได้เหมือนกันครับ เป็นสถานที่ที่ผมไม่ได้จะใส่ใจเท่าไรตอนเดินผ่าน

ปกติผมจะเดินไปโฉบแถวนั้นเมื่อไปซื้อนิยายจีนเท่านั้น ล่าสุดก็เรื่อง avatar น่าจะเป็นที่พารากอนครับ.

[passer-by]

ข้อความเดิมเขียนโดยคุณ lek2554

สกาลายังอยู่ไหมครับ ผมไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ 11 ปีแล้วครับ

สกาลา ยังอยู่ครับ

จริงๆ การไปดูหนังที่ลิโด้ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตสำหรับผมที่ลิโด้ครับ

ข้อดีที่ชัดเจนคือ ค่าตั๋วถูก แค่ 100 บาท , ข้อเสีย คือ หน้าโรงหนัง บางโรง มีก้นบุหรี่เยอะไปนิด