|
สมัครสมาชิก | คู่มือการใช้ | รายชื่อสมาชิก | ปฏิทิน | ข้อความวันนี้ | ค้นหา |
|
เครื่องมือของหัวข้อ | ค้นหาในหัวข้อนี้ |
#1
|
||||
|
||||
อยากทราบ เวลาที่เหมาะสม ในการอ่านหนังสือ
อยากทราบว่า คนที่เรียนคณิตศาสตร์เป็น นั้น
เขาใช้เวลาในการอ่านหนังสือคณิตศาสตร์ วันละประมาณกี่ชม ครับ? ผมได้ยินมาว่า พวกที่เตรียมอุดม สวนกุหลาบ เล่นมันวันละไม่ต่ำกว่า 4 ชมเลยน่ะครับ และพอผมไปถามคนอื่น บางคนตอบว่า "ก็อ่านไปจนกว่าสมองจะรับอะไรไม่ได้แล้ว" บางคนตอบว่า "ต้องคำนึงถึงสุขภาพด้วย" แล้วถ้าจะศึกษาวิชาจริงๆจังๆแล้ว ควรอ่านประมาณวันละกี่ชมดีครับ (สมมติว่า ผมอ่านได้มากที่สุดวันละ 6 ชมก็ได้)
__________________
รักคณิตศาสตร์ |
#2
|
||||
|
||||
มันไม่เป็นกฏเกณฑ์ตายตัวสำหรับทุกคนหรอกคับ แต่ละคนก็มีวิธีอ่าน และ วิธีการเรียนรู้แตกต่างกันออกไป
โดยความเห็นส่วนตัวนะคับ ไม่จำเป็นต้องบังคับขนาดว่า วันละกี่ชม. หรอกคับ เวลาไหนก็ไม่สำคัญด้วย สิ่งที่สำคัญคือ อ่านให้เข้าใจ มากกว่า อย่างที่บอกถ้า อ่านวันละ 4 ชม. บ้าง 6 ชม. บ้าง แต่ไม่เข้าใจเลย ก็ถือว่าไม่ได้ประโยชน์เอาซะเลย อาจจะสู้คนอื่นแค่ ชม.เดียว แต่เข้าใจ ยังไม่ได้เลย สิ่งสำคัญของการเรียนรู้คณิตศาสตร์นอกจากการท่องสูตร และ นิยาม ก็คือ แบบฝึกหัดและประสบการณ์คับ พูดเป็นภาษาง่ายๆคือ จำแบบเข้าใจ นั่นแหละคับ แต่ไม่ใช่การจำดะ ถึงเวลาก็ทำอะไรไม่เป็นอยู่ดี และต้องรู้จักประยุกต์ใช้ ในการแก้ปัญหา
__________________
PaTa PatA pAtA Pon! 28 มีนาคม 2005 00:52 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ M@gpie |
#3
|
|||
|
|||
You can do mathematics anywhere and anytime krub.
สำหรับผมแล้วการศึกษาคณิตศาสตร์เกิดขึ้นอยู่เกือบตลอดเวลา อยากให้ลองปล่อยตัวเองให้อิสระดูครับ ไม่ต้องกำหนดกะเกณฑ์อะไรมาก นึกอยากจะคิดอยากจะอ่านก็หยิบมาลองทำดู แบบนี้จะทำให้เราเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและไม่เครียดครับ แต่ก่อนอื่นเราต้องมีความรู้สึกว่าอยากคิดหรืออยากอ่านก่อนครับ เห็นโจทย์แล้วยี้ไม่อยากทำหรือท้อตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มคิดแบบนี้ก็ไม่ไหวครับ ผมก็เป็นบ่อยเหมือนกัน ต้องพยายามท้าทายตัวเองอยู่ตลอดครับ เริ่มจากทำโจทย์ง่ายๆก่อนก็ได้ เมื่อทำได้เราจะได้ความฮึกเหิมมาระดับหนึ่ง จากนั้นค่อยหันไปหาโจทย์ที่ยากขึ้น ถ้าทำไม่ได้ก็หันไปหาเครื่องมือที่พอจะช่วยเราได้ หรือไม่ก็พยายามเกาะติดปัญหาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะพบทางออกครับ ถ้าไม่ท้อจนหมดไฟซะก่อนนะ
__________________
site:mathcenter.net คำค้น |
#4
|
||||
|
||||
เมื่อได้อย่างหนึ่ง เราก็จะเสียอย่างหนึ่งครับ. คนที่ตอบว่าวันละ 2 ชม. ก็คิดแบบหนึ่ง คนที่ตอบว่าวันละ 4 ชม.ก็คิดอย่างหนึ่ง คนที่ตอบว่าจนกว่าจะล้าก็คิดแบบหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะแบบไหนสุดท้ายก็จะได้อย่างเสียอย่างครับ.
ได้อะไร เสียอะไร เราจะเป็นคนรู้ด้วยตัวของตัวเองครับ. เราจะทำแบบไหนได้ มันก็ต้องดูก่อนว่าเราอยู่ในสภาวะแบบไหน ? สภาวะแบบไหน ? หมายถึง ว่าตอนนี้เราต้องรับผิดชอบเรื่องอะไรบ้าง ถ้าเรามีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบน้อย เราก็จะสามารถทุ่มที่จะทำอะไรสุดตัวได้ แต่ถ้าเรามีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบสูง เราก็อาจจะไม่สามารถที่จะทำอะไรสุด ๆ ได้ กรณีที่เรามีภาระเพียงเรื่องเรียนอย่างเดียว ตอนนี้นับว่าเป็นโอกาสทอง ครับ. แต่ละคนจะมีอุดมคติแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ดี ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแน่ ๆ น้องต้องถามตัวเองครับ. ว่าแคร์เรื่องสุขภาพร่างกายมากน้อยเพียงใด บางคนอาจจะมองว่าการออกกำลังกาย เป็นเรื่องเสียเวลาอย่างหนึ่ง บางคนอาจจะมองว่าไม่ใช่ คนที่ตอบว่าเสียเวลาก็อาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่ง ไม่เคยรู้สึกถึงอารมณ์ของการผ่อนคลาย เป็นความสุขอีกแบบที่หาไม่ได้จากการกิน การนอน หรือ การดูหนังฟังเพลง หรือ อื่น ๆ อย่างพี่เอง ได้เคยรู้สึกถึงความสุขของการออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเป็นไปได้พี่ก็จะออกกำลังกาย ให้ถึงระดับที่สิ่งนั้นจะปรากฏออกมา สิ่งนั้นคืออะไร สำหรับพี่มันจะเป็นอารมณ์สงบแบบเรียบ ๆ ที่ค่อย ๆ ไหลออกมาพร้อม ๆ กับลมหายใจ พร้อม ๆ กับอากาศที่พัดเย็นสบาย สิ่งนั้นพี่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ามันเป็นลมปราณอย่างที่คนจีนเรียกหรือไม่ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นหลังออกกำลังกายเสร็จ และ พี่จะสามารถควบคุมสิ่งนั้นซึ่งเป็นคล้าย ๆ กลุ่มของอากาศซึ่งมีลักษณะร้อน ๆ ให้เคลื่อนตัวได้ไปตามแขนขา ตามใจนึกได้ ชักนอกเรื่อง แต่ไม่ซะทีเดียว นี่เป็นเรื่องที่นับว่าเสียเวลาในมุมมองของคนบางคน แต่สำหรับพี่เองไม่ใช่เรื่องเสียเวลา และ สมควรทำ เพราะเป็นการผ่อนคลายอีกแบบ ในขณะเดียวกัน พี่ก็มองว่ามันเป็นการฝึกตนแบบหนึ่ง ฝึกอะไร ? เช่น เราอาจตั้งใจว่า วันนี้อย่างไรก็ต้องวิ่งรอบสนามให้ครบ 4 รอบเป็นอย่างน้อย ถ้าเราทำได้ทุกครั้งที่เราออกกำลังกาย เราก็จะได้รับความเชื่อมั่นในตัวเองเล็ก ๆ สะสมไปเรื่อย สำหรับพี่แล้วมีประโยชน์อย่างยิ่ง การออกกำลังกายยังได้พลังความฮึกเหิม พลังความสดชื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่จะไม่ได้จากการนอนที่เพียงพอแต่อย่างเดียว หลังออกกำลังกายเสร็จ ลมพัดเย็นสบาย ๆ ใจเราก็จะสงบนิ่ง เราอาจจะได้มุมมองแนวคิดใหม่ ๆ ทั้งต่อตัวเอง ต่อส่วนรวม ความคิดแบบนี้จะได้มาเมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม กลับมาต่อที่เรื่องเรียนหรืออ่านหนังสือต่อ ถ้าน้องทุ่มตรงจุดนั้นมากไป สิ่งที่น้องคิดว่าได้แน่ ๆ ก็คือความคิดที่ว่า เออ. เราเจ๋งแฮะสามารถทนทายาด แต่เรื่องคุณภาพที่ได้จากตรงนั้นยังเป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์จากสิ่งอื่น ๆ อยู่ เช่น จากการสอบแข่งขัน การทุ่มเทอะไรเกินไป โดยไม่มองด้านอื่น สำหรับพี่แล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ดี พี่เองชอบจะพยายามควบคุมตัวเองให้ได้สมดุลทั้งร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ ๆ นี่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้ให้จริงจังกับการทำอะไรให้สำเร็จ ที่ต้องการจะบอกคือ ควรจะหาเวลาให้ร่างกายและจิตใจของตัวเองบ้าง ยุคนี้เราเริ่มมีหนังสือคณิตศาสตร์ออกมาเยอะ มีอินเตอร์เน็ตให้สื่อสาร ถ้าน้องจะทุ่มเทอย่างจริงจัง พี่ก็เชื่อได้ว่าน้องจะบรรลุกับสิ่งที่ตัวเองหวังโดยไม่ยากนัก สิ่งที่น้องจะต้องคำนึงถึงเป็นพิเศษ พี่คิดว่าไม่ใช่เรื่องเวลาว่าจะอ่านวันละกี่ชั่วโมง แต่เป็นความชอบต่างหาก ถามตัวเองให้ได้ว่าชอบจริง ๆ หรือเปล่า คณิตศาสตร์นั่นล่ะ ถ้าชอบอย่างจริงจังแล้ว คิดว่าตัวเองทำเรื่องไร้สาระวันหนึ่ง ๆ ไปกี่ชั่วโมง มีคณิตศาสตร์อยู่กี่เปอร์เซนต์ ถ้าใจคำนึงถึงคณิตศาสตร์อยู่ร่ำไป แบบนี้รุ่งแน่ครับ.
__________________
The Lost Emic <<-- หนังสือเฉลยข้อสอบระดับประถมนานาชาติ EMIC ครั้งที่ 1 - ครั้งที่ 8 ชุดสุดท้าย หลงมา 28 มีนาคม 2005 17:57 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ gon |
#5
|
||||
|
||||
เนื่องจากคนเราแต่ละคน ล้วนมีความถนัดแตกต่างกันไป วิธีการที่เหมาะสมกับคนหนึ่ง อาจจะแย่สำหรับอีกคนหนึ่งก็เป็นได้ เราจึงต้องรู้จักสำรวจ และค้นหาวิธีการที่เหมาะสมกับเราที่สุด เรื่องการบริหารเวลาอ่านหนังสือก็เช่นกัน เราต้องประเมินตนเองให้ได้ก่อนว่า เรามีสมาธิอ่านหนังสือนานเพียงใด เมื่อไหร่จึงรู้สึกล้า เวลาและสถานที่ใดเหมาะกับการอ่านหนังสือโดยที่ทำให้เรามีสมาธิมากที่สุด ตัวแปรต่างๆเหล่านี้มันสัมพันธ์กันไปหมด อย่างเช่น
ตอนเด็กๆเราสามารถอ่านหนังสือได้นาน 4 ชั่วโมงติดกัน ณ เวลาใดก็ได้ แต่พออายุมากขึ้นก็จะค้นพบตนเองว่า หากอ่านหลัง 4 สี่ทุมเป็นต้นไป จะอ่านได้เพียง 1 ชั่วโมง ก็เพลียแล้ว ดังนั้นหากต้องการอ่านนาน 4 ชั่วโมง จึงต้องเปลี่ยนเวลาอ่าน ไปเป็นช่วงกลางวันแทน นอกจากปัจจัยเหล่านี้แล้ว ยังขึ้นกับเนื้อหาที่อ่านด้วย เช่น หากเรากำลังศึกษาเรื่องแคลคูลัสใหม่ๆ ก็จำเป็นต้องใช้เวลามาก สำหรับทำความเข้าใจในช่วงแรกๆ แต่หลังจากพอจะเข้าใจแนวคิดหลักแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากเท่าเดิมในการ เรียนรู้เนื้อหาต่อมา ที่ต้องบอกเช่นนี้เพราะน้องๆอาจจะประเมิน ประสิทธิภาพของการใช้เวลาได้ไม่ถูกต้องนัก หากจะเปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับการต้มน้ำ หากเรานำน้ำแข็งมาต้ม ในช่วงแรกๆอาจจะรู้สึกว่า ความร้อนที่ใส่เข้าไปเหมือนมันสูญเปล่า สิ้นเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ แต่หากเรามีความอดทนเพียงพอ ความร้อนทุกหน่วยที่เราตั้งใจใส่ลงไป จะค่อยๆเพิ่มอุณหภูมิของน้ำแข็ง และเมื่อถึงอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ปาฏิหารย์จะบังเกิดขึ้นเมื่อน้ำแข็งละลายเป็นน้ำ หลังจากนั้นก็เหมือนเป็นกำแพงอีกชั้น ความร้อนที่ใส่เข้าไปเหมือนมันสูญเปล่า สิ้นเปลืองเวลาโดยใช่เหตุอีกแล้ว แต่หากเรามีความอดทนเพียงพอ ความร้อนทุกหน่วยที่เราตั้งใจใส่ลงไป จะค่อยๆเพิ่มอุณหภูมิของน้ำ และเมื่อถึงอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ปาฏิหารย์จะบังเกิดขึ้นเมื่อน้ำเดือดระเหยเป็นไอน้ำ ทุกความพยายามและความตั้งใจของเรา ไม่เคยสูญเปล่า และหากเรามีความความพยายามและตั้งใจเพียงพอ มันจะให้ดอกและผลคุ้มค่าการรอคอยครับ หากเป็นการใช้เวลาฝึกทำโจทย์ การรู้จักเลือกโจทย์ที่ดี จะช่วยให้เราใช้เวลาได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ก่อนจะทำโจทย์แต่ละข้อจึงต้องรู้จัก ประเมินความยากง่าย เช่น หากข้อใดมองแล้วรู้แนวทางทำโจทย์ทั้งหมด
ปล. เอาคำพูดของเนลสัน แมนเดลามาฝากครับ (ความหมายประมาณนี้) ผมได้ฟังก่อนออกไปแสดง Modern Dance ท่ามกลางสายตาครึ่งหมื่น เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ช่วยให้มีกำลังใจขึ้นเยอะครับ "ผู้กล้าหาญ ไม่ใช่ผู้ที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด แต่คือผู้ที่เอาชนะความกลัวในใจตนเองได้"
__________________
The difference between school and life? In school, you're taught a lesson and then given a test. In life, you're given a test that teaches you a lesson. |
|
|