#1
|
|||
|
|||
ช่วยคิดด้วยครับ
จงหาสูตรของ (2ยกกำลัง m -1, 2ยกกำลัง n- 1 ) พร้อมทั้งพิสูจน์
24 พฤศจิกายน 2004 17:05 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 3 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ Tony |
#2
|
|||
|
|||
คำตอบในรูปทั่วไปคือ (am-1,an-1) = a(m,n) - 1 ครับ การพิสูจน์ค่อนข้างยาวแต่ไม่ยากครับ เลียนแบบ Euclidean Algorithm ถ้ามีหนังสือ เสริมความรู้มุ่งสู่คณิตศาสตร์โอลิมปิก ของ อาจารย์ดำรงค์ ทิพย์โยธา ก็ดีเลยครับ จะอยู่ตอนท้ายๆเล่ม เป็นชุดปัญหาจากง่ายไปยากครับ
__________________
site:mathcenter.net คำค้น 25 พฤศจิกายน 2004 02:51 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ nooonuii |
#3
|
||||
|
||||
อ้า. นึกออกแล้วครับ. ว่าเคยตอบไปตรงหน้านี้ ไม่รู้ใช้ได้เปล่า หวังว่าไม่ผิดนะ Tmo
|
#4
|
|||
|
|||
ขอบคุณมากครับ พี่gonและ พี่noonuii
แต่ผมมีคำถามอีกข้อหนึ่งคือ จงหาสูตรของ (2^m - 1 , 2^n + 1) พร้อมทั้งพิสูจน์ (จงยกตัวอย่าง m, n ที่ทำให้ (2^m-1, 2^n+1)=1และน1) คล้ายกับข้อแรกครับแต่เปลี่ยนเครื่องหมาย คือที่ผมคิดไว้นั้นลองแทนค่าดูก่อน =1 m=1,nฮN m=2,n=2t tฮN . . . น1 m=2 n=3 m=4 n=3 แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ พยายามหา ห.ร.ม. แบบยูคลิคก็ทำไม่ได้(ไม่รู้ทำถูกมั้ย) ใครที่หาได้ช่วยบอกมาด้วยครับ ขอบคุณมากครับ 25 พฤศจิกายน 2004 20:35 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 4 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ Tony |
#5
|
|||
|
|||
น่าจะมีสองคำตอบครับ คือ 1 กับ 2 แต่อาจจะต้องแยกกรณีกันวุ่นวาย น่าจะมีวิธีคิดแจ๋วๆนะ
__________________
site:mathcenter.net คำค้น |
#6
|
|||
|
|||
อาศัยการแยกตัวประกอบโดยใช้ "cyclotomic polynomials" ทำให้ผมเชื่อว่า
คำตอบเป็นดังนี้ครับ ให้ n = 2rs โดยที่ s เป็นจำนวนคี่และ r เป็นจำนวนเต็มที่มากกว่าหรือเท่ากับ 0 จะได้ว่า (2m - 1, 2n + 1) จะเท่ากับ 1 ถ้า 2r+1 หาร m ได้ไม่ลงตัว และจะเท่ากับ 2(m,n) + 1 ถ้า 2r+1 หาร m ลงตัว สำหรับการพิสูจน์ผมขอละไว้เป็นการบ้านให้คนอื่นทำละกัน 09 ธันวาคม 2004 01:51 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ warut |
#7
|
|||
|
|||
เรขาคณิต
>> กระดาษซีรีส์เอคือกระดาษูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีสมบัติว่า เมื่อแบ่งครึ่งด้วยเส้นตรงที่ขนานกับด้านกว้างแล้วจะได้กระดาษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองรูป ที่คล้ายกับรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเดิม ถ้าเส้นแทยงมุม DB ของกระดาษรูปสี่เหลียยมผืนผ้า ABCDถูกแบ่งเป็นสามส่วนที่มีความยาวเท่ากัน โดยเส้นขนาน L1 และ L2 ซึ่งผ่านจุด A และ C และตั้งฉากกับDB แล้วจงแสดงว่า กระดาษ ดังกล่าวเป็นกระดาษซีรีส์เอ |
#8
|
|||
|
|||
ทฤษฎีจำนวน
>> ในโรงเรียนแห่งหนึ่งมีล็อกเกอร์ 200 ลอกเกอร์ สำหรับนักเรียน 200 คน นักเรียน 200 คนมาตรวจล็อกเกอร์ โดยนักเรียนคนแรกตรงไปเปิดล็อกเกอร์ทุกบาน นักเรียนคนที่ 2 ตรวจล็อกเกอร์เลขคู่ถ้าล็อกเกอร์เปิดอยู่ก็จะปิด นักเรียนคนที่3 ไปตรวจล็อกเกอร์ที่ 3 ,6 ,... โดยเว้นทีละ 3 ถ้าพบล็อกเกอร์ที่เปิดอยู่ก็จะปิด และถ้าพบที่ปิดอยู่ก็จะเปิด หลังจากนั้นนักเรียนคนที่4 ตรวจล็อกเกอร์ที่ 4, 8, ... และทำเช่นเดียวกับคนที่ 3 ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนครบ 200 คน จงหาว่ามีล็อกเกอร์ที่เปิดอยู่กี่บาน |
#9
|
||||
|
||||
ข้อทฤษฎีจำนวน จำได้ว่าเห็นมาหลายรอบมาก ๆ แล้วครับ. แล้วที่เล่นไปถึง 1000 ลอกเกอร์เลยมั้ง แต่ไม่เคยคิดจริง ๆ สักทีเลย เมื่อครู่ลองคิดดูบ้างแต่คิดว่าคงไม่ใช่แนวคิดที่ดีมากนัก ต้องลองไปคิดต่อดูอีกหน่อย หรือ ใครจะเสนอแนวคิดที่ง่ายกว่านี้ก็เอาเลยนะครับ. ผมคิดว่ามีง่ายกว่านี้
ที่ลอง ๆ คิดดู เราสามารถรู้ได้ง่าย ๆ ว่าลอกเกอร์หมายเลขไหน สุดท้ายแล้วเปิดหรือปิดได้จาก จำนวนตัวประกอบที่เป็นบวกของจำนวนนั้น ถ้าได้คี่ก็แสดงว่าลอกเกอร์นั้นเปิดอยู่ ถ้าได้คู่ก็ปิด เช่น ตัวประกอบของ 6 มี 4 จำนวน คือ 1, 2, 3, 6 แสดงว่าลอกเกอร์หมายเลข 6 จะปิด หรือ อย่าง 120 = (23)(3)(5) ซึ่งจะมีตัวประกอบที่เป็นบวกอยู่ทั้งหมด (3+1)(1+1)(1+1) = 16 จำนวน แสดงว่าก็ปิดอีกเช่นกัน และ จะเห็นได้ว่าลอกเกอร์หมายเลข 1 ต้องเปิดแน่นอน บางทีมันอาจจะเกี่ยวกับ Euler phi function ซึ่งอาจจะได้ความจริงง่าย ๆ บางอย่างว่า จำนวนตัวประกอบของมันจะเป็นจำนวนคู่ เมื่อใดบ้าง .... |
#10
|
|||
|
|||
อ้าว...ผมเพิ่งจะเห็นนะเนี่ยว่ามีโจทย์ทฤษฎีจำนวนน่าสนใจมากอยู่ตรงนี้ข้อนึง และผม
ก็ไม่เคยเห็นที่อื่นมาก่อนด้วยสิ เอ่อ...ว่าแต่ข้อที่แล้วที่ผมตอบไปถูกผิดประการใดคุณ Tony ช่วยแจ้งให้ทราบด้วย จะเป็นพระคุณยิ่งครับ สำหรับโจทย์ข้อใหม่นี้คำตอบสำหรับกรณี n ล็อกเกอร์ก็คือ \(\lfloor\sqrt n\rfloor\) ดังนั้นถ้า n = 200 จะได้คำตอบคือมีล็อกเกอร์เปิดอยู่เท่ากับ \(\lfloor\sqrt{200}\rfloor\) = 14 ล็อกเกอร์ สำหรับรายละเอียดที่มาของสูตรผมจะมาโพสต์ภายหลังครับ หรือใครมีเวลาว่างพิมพ์ ก็ช่วยอธิบายไปก่อนได้เลย ที่บอกได้ตอนนี้คือคุณ gon เริ่มไปถูกทางแล้วครับ (แต่ไม่ เกี่ยวกับ Euler's f function นะ) แต่ยังคงต้องไปต่ออีกนิดหน่อยจึงจะไปถึง คำตอบข้างบน 30 ธันวาคม 2004 01:44 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ warut |
#11
|
|||
|
|||
ถึงคุณ warut นะครับ
พอดีผมไม่รู้เรื่อง"cyclotomic polynomials"(ช่วยชี้แจงด้วยนะครับ หรือเรื่องนี้เรียนในไหนครับ ขอบพระคุณอย่างสูง) แต่ผมลองแทนค่าดูแล้วก็น่าจะถูกต้อง และขอบคุญพี่ gon มากครับ ผมก็คิดคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน เช่น 1=1 เปิด 2=1*2 เปิด-ปิด 3=1*3 เปิด-ปิด 4=1*2*2 เปิด-ปิด-เปิด . . . ยังไม่รู้ว่าจนถึง 200 จะเปิดเท่าไร 30 ธันวาคม 2004 13:39 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ Tony |
#12
|
|||
|
|||
ที่มาของสูตรเป็นดังนี้ครับ
ให้ d(m) แทนจำนวนของตัวประกอบที่เป็นบวกทั้งหมดของ m เพื่อที่จะหาว่าในล็อกเกอร์ n ล็อกเกอร์นั้นมีล็อกเกอร์ใดเปิดอยู่บ้าง เราสามารถทำได้ โดยหาว่ามีจำนวนนับ m ที่อยู่ในช่วง [1, n] ทั้งหมดกี่ตัวที่ d(m) เป็นจำนวนคี่ ถ้า m = \(p_1^{r_1}p_2^{r_2}\dots p_k^{r_k}\) > 1 โดยที่ p1, p2, ... , pk เป็นจำนวนเฉพาะที่ต่างกันและ r1, r2, ... , rk เป็นจำนวนเต็มบวก (นั่นคือเขียน m ในรูปของ "prime factorization") แล้วเราจะได้ว่า d(m) = (r1 + 1)(r2 + 1)...(rk + 1) จะเห็นว่า d(m) จะเป็นเลขคี่ก็ต่อเมื่อ r1, r2, ... , rk เป็นเลขคู่ทั้งหมด ซึ่ง r1, r2, ... , rk จะเป็นเลขคู่หมดทุกตัวก็ต่อเมื่อ m เป็นเลขกำลังสองสมบูรณ์ ดังนั้นคำตอบที่เราต้องการก็คือจำนวนของเลขกำลังสองสมบูรณ์ทั้งหมดที่อยู่ในช่วง [1, n] ซึ่งมีค่าเท่ากับ \(\lfloor\sqrt n \rfloor\) เมื่อ ๋ ๛ แทนสัญลักษณ์ของ floor function (หรือ greatest integer function นั่นเอง) 31 ธันวาคม 2004 22:33 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ warut |
#13
|
|||
|
|||
อ่า สรุปว่าสูตรอยู่ในรูป floor function ไม่ใช่ ceiling function ใช่มั้ยครับ
__________________
site:mathcenter.net คำค้น |
#14
|
|||
|
|||
อ้างอิง:
น่าจะเป็น floor มากกว่าครับ๋๛
__________________
[[:://R-Tummykung de Lamar\\::]] || (a,b,c > 0,a+b+c=3) $$\sqrt a+\sqrt b+\sqrt c\geq ab+ac+bc$$ |
#15
|
|||
|
|||
เข้าใจแล้วครับ
ขอบคุณมากครับ |
|
|