#1
|
||||
|
||||
คิดว่าจริงไหม?
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNew...=9510000052884
ลองอ่านกันดูเองนะครับ ไม่ขอพูดอะไรมาก
__________________
I am _ _ _ _ locked |
#2
|
||||
|
||||
มันก็จริงครับ
__________________
I think you're better than you think you are. |
#3
|
||||
|
||||
true (for my)
__________________
20 เมษายน 2009 21:18 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ คusักคณิm |
#4
|
||||
|
||||
ไม่ใช่ไม่มีที่ให้เด็กไม่เก่งหรอกครับ ไม่มีที่ให้เด็กจนซะมากกว่า
ก็เล่นกวดวิชาซะขนาดนั้น ทำให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้เองได้ แล้วก็ทำให้เด็กไม่มีเวลาคิดทบทวนว่าตัวเองถนัดหรือชอบอะไร เป็นเพราะพวกกวดวิชาที่ขึ้นมาสูบเลือดเด็กกันเต็มบ้านเต็มเมือง (ผมเห็นเข้าไปแล้วเรียนไม่ไหวก็เยอะ เพราะตอนสอบได้ก็คงเหราะกวดวิชานั่นแหละ)
__________________
ตะปูที่ตอกบนแผ่นไม้ แม้ถอนออกยังคงทิ้งรอยไว้ คำพูดทิ่มแทงจิตใจคน ใยมิใช่เป็นเฉกเช่นเดียวกัน 11 พฤษภาคม 2008 00:21 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ Aermig |
#5
|
||||
|
||||
ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของประเทศไทย นับวันยิ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ...
ในจังหวัดที่ผมอยู่ จะเริ่มมีการสอนพิเศษตั้งแต่ชั้นอนุบาล1 และผู้ปกครองจะสนับสนุนอย่างแรง พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกตนเองเรียนเก่งและสอบเรียนต่อในสถาบันการศึกษาที่ดังๆได้ ครูบางคนก็นำข้อสอบเก่ามาสอนในตอนเรียนพิเศษ เพื่อให้เด็กมีคะแนนสอบสูงและได้เกรดดี จะได้มีผู้ปกครองสนับสนุนมากๆ โดยไม่รู้ว่าอาหารสำเร็จรูปนี้ ทำให้เป็นโรคขาดสารอาหาร(สมอง) ครูเปรียบเสมือนผู้ชี้ทาง นักเรียนควรจะเดินทางด้วยตัวเองบ้าง ไม่เช่นนั้นต้องเรียนพิเศษตลอดชีพแน่ๆ |
#6
|
||||
|
||||
การศึกษานั้นควรพัฒนาเด็กตามความสามารถนั้นถูกต้องแล้ว ประเทศพัฒนาแล้วก็ดำเนินการเช่นนี้ แต่มีปรัชญาว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังคนเดียว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เหมือนการเดินเป็นกลุ่ม คนเดินเร็วก็เดินข้างหน้า ใครเดินช้าก็เดินอยู่หลัง บ้านเราการเรียนการสอนแบบนี้ยังมีน้อยกว่าหลายๆประเทศมาก โดยเฉพาะประเทศแถบนี้ อย่าพูดถึงจีน เกาหลี หรือสิงคโปร์เลย เวียตนามเขาก็ก้าวหน้ากว่าเราหลายขุมแล้ว และที่แย่กว่านั้นโรงเรียนส่วนใหญ่เน้นการท่องจำ การสอบเป็นแบบท่องจำ ทำให้ต้องกวดวิชา จึงไม่แปลกเลยที่คนเรียนได้ 4 บางโรงเรียน พอสอบเอเนต โอเนตแล้วได้เลขแค่นิดน้อย จะว่าข้อสอบยากเหรอก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมีคนทำคะแนนเต็มมากมายกว่าสมัยผมเอ็นทรานซ์ซะอีก สิ่งที่ต้องทำคือสร้างห้องเรียนเด็กพิเศษขึ้นทุกอำเภอ มีระบบการคัดเด็กและส่งต่อเพื่อพัฒนาเด็กให้ถูกต้อง อัจฉริยะมีอยู่ในทุกที่ ถ้าไม่พัฒนาก็จะกลายเป็นเด็กปกติ หรืออาจเลวร้ายกลายเป็นเด็กมีปัญหาได้ อย่ารังเกียจกับห้องพิเศษเลย ไม่เช่นนั้นเราจะดักดานเหมือนที่ผ่านมาหลายสิบปี ที่เน้นทุกคนต้องเก่งเท่ากัน ท่องเหมือนๆกัน โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว
เลิกทำแบบเมื่อยี่สิบปีก่อนเถอะ ไปเอาข้อความจากความคิดเห็นเขา มาเห็นว่าดีเลยเอามาให้อ่าน
__________________
|
#7
|
|||
|
|||
อืม เรื่องนี้ผมว่านะถูกแล้วครับครูเป็นเพียงผู้ชี้แนวทางว่าให้เราก้าวต่อไปทางไหนเท่านั้นเองและเป็นที่ปรึกษาแก่นักเรียนนะครับ
และที่เด็กเวียดนามเขาไปไกลนะเพราะเขาเปลี่ยนระบบการศึกษาใหม่ ดูประเทศเราสิเรียนๆๆๆเรียนเยอะอย่างแรงเลยครับ เรียนเอาเป็นเอาตายครับ ทำให้ไม่มีสุขภาพจิตที่ดี เรียนจนไม่มีเวลาว่าง เรียนในสิ่งที่ไม่จำเป็น สอบก็เยอะทำให้เด็ดเครียดเข้าทุกทีครับ อย่างห้องผมนะครับ เพื่อนผมเรียนเยอะกว่าผมอีกผมเรียนแค่ 4 วันเอง เพื่อนผมเรียนทุกวันยังไม่เข้าใจบางส่วนเลยครับ เรียนๆจนไม่มีเวลาว่างสำหรับตัวเองเลยครับ ในโลกนี้มีคำว่า ตัณหา ถึงมีการกวดวิชาขึ้นมาครับ และการไม่ยอมรับผู้อื่น ในที่นี้เฉพาะบางคนครับ สรุปคือ การเรียนอยู่ในห้อง เรียนให้เต็มที่ เมื่อไม่เข้าใจก็ถาม ถ้าไม่เข้าใจจริงๆก็ไปเรียนพิเศษเพิ่มส่วนที่ไม่เข้าใจ แล้วกลับไปอ่านทบทวนสม่ำเสมอ ทีนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียนพิเศษเยอะให้มันเสียเวลา เสียเงิน เสีย... ไปอีกตลอด เรียนเท่าที่จำเป็นเพื่อเราจะได้มีเวลาไปออกกำลังกายบ้าง พักผ่อนบ้าง ไม่งั้นสมองมึนไม่รับการเรียนรู้ใดๆทั้งสิ้น (อันนี้เคยโดนมาแล้ว อ่านหนังสือติดต่อกัน 3-6 ชั่วโมงไม่พัก มึนมากๆต้องนอนเลยครับ) ลองไปอ่านบทความดูว่าสมองเราต้องการอะไรถึงจะดีนะครับ ปล.ครูที่ปรึกษาผมยังเห็นด้วยครับเกี่ยวกับเรื่องนี้ |
#8
|
||||
|
||||
อื้ม
จริงมาก แต่ถ้าเราตั้งใจจริง เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน เหมือนกันคือ...ประสปผลสำเร็จ^^
__________________
ยิ้มเท่านั้นที่ครองโลก
5555 |
#9
|
||||
|
||||
บางคนอาจจะคิดว่า การจัดห้องอัจฉริยะจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมของนักเรียน(ซึ่งก็เป็นความจริง ขนาดแค่มีห้องคิงมันก็ยังเกิดขึ้นแล้ว)
ดังนั้น การจัดห้องพิเศษจะส่งผลเสียทางสังคม จริงๆแล้วควรเป็นการพัฒนาความสามารถพิเศษของนักเรียนเหล่านั้นในยามว่าง ซึ่งโรงเรียนควรจัดการ อาจจะเป็นสัปดาห์ละครั้งหรือ2ครั้ง หลังเลิกเรียน ที่สำคัญไม่ควรเก็บค่าบริการ เพราะไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นกวดวิชาไปในที่สุด
__________________
ตะปูที่ตอกบนแผ่นไม้ แม้ถอนออกยังคงทิ้งรอยไว้ คำพูดทิ่มแทงจิตใจคน ใยมิใช่เป็นเฉกเช่นเดียวกัน 24 พฤษภาคม 2008 17:45 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ Aermig |
#10
|
||||
|
||||
เสียทางสังคม.......อื้มม
อีกอย่าง คนที่อยู่ห้องคิง บางคนทะนงตัวมากกกก อย่างนี้แหละ ได้อย่างเสียอย่าง เฮ้ออออ
__________________
ยิ้มเท่านั้นที่ครองโลก
5555 |
#11
|
||||
|
||||
คงจะจริงมั๊ง
__________________
ต้องคิด ต้องทำ ก่อนจะบอกว่าทำไม่ได้ |
#12
|
|||
|
|||
ให้ตายสิ
มันเป็นจริงทุกประการเลยอ่ะ โรงเรียนเราก้อมีอะไรแบบนี้เหมือนกันนะ แต่อย่าให้เราวิจารณ์เรื่องนี้เลย ไม่จบเป็นอ่ะ |
#13
|
||||
|
||||
ผมว่าเป็นเกือบทุกโรงเรียนเลยครับ
|
#14
|
|||
|
|||
มันขึ้นอยู่กับที่ คนให้ความรู้ หรือ ครู ในโรงเรียนด้วยครับ ถ้าคุณดีจริง เด็กไม่ต้องไปเรียนพิเศษที่อื่น แต่ก็ทำข้อสอบ ได้เท่าเทียมกับเด็กที่ไปเรียนพิเศษ
แต่ ยุคสมัยนี้มันไม่ใช่แล้วครับ คนเป็นครูเพราะว่า ไม่มีอะไรให้ทำเยอะแยะไป เดี๋ยวนี้เข้าครูง่ายเสียเหลือเกิน ผมเรียนเอกคณิตศาสตร์กับเพื่อน เพื่อนผมที่มาเรียนเอกเดียวกับผม ยัง บวกลบเศษส่วนไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่ยังมาเรียน ครุ + คณิต ขอแสดงความคิด ในฐานะครูคณิต คนนึง |
#15
|
||||
|
||||
1.ครูอาจารย์ คือผู้สอนสั่งชี้นำทั้งในหลักแห่งวิชาการและหลักจริยธรรม
- ครูควรจะมีความรู้เพียงพอที่จะสามารถทำหน้าที่ได้อย่างดี และควรมีความรักเอาใจใส่ในอาชีพของตน - ครูที่มีความรักในอาชีพของตน จะหมั่นศึกษาค้นคว้า ในหลักวิชาที่ตนรับผิดชอบอยู่ และมักจะมีความรู้ที่ทันสมัย - การพัฒนาศักยภาพของครู ถ้าได้ครูมีคุณภาพดีมาเป็นผู้ชี้ทางให้เด็กแล้วประเทศไทยคงจะเจริญกว่านี้แน่ - จากการสังเกตุดูพบว่ามีครูบางคนในบางโรงเรียนได้กลายเป็นพนักงานรับจ้างสอนไปแล้ว และบางคนก็สอนพิเศษ เพื่อให้มีรายได้เพิ่ม ทำให้ผู้ปกครองบางคนคิดว่า "การศึกษาสามารถซื้อได้ด้วยเงิน" จึงเป็นการศึกษาขาดตอน 2. นักเรียน คือผู้ศึกษาหาความรู้ความชำนาญตามที่ครูสั่งสอน - นักเรียนมีหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่มีผู้ปกครองเป็นผู้ชี้นำและคอยควบคุมขีดเส้นให้เดิน - น้อยคนนักที่จะรู้ว่าตนต้องการอะไร และจะสามารถไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้อย่างไร - เมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่นก็มักจะเลือกเรียนตามเพื่อน และเรียนพิเศษในสถาบันต่างๆ โดยไม่เข้าใจหลักการเรียนรู้ - เมื่อเด็กที่เติบโตขึ้นมาในสภาพนี้จะมีแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาที่ผิด และจะทำให้เกิดวงจรการซื้อความรู้ และไม่สามารถประยุกต์หลักการแท้จริงของการศึกษามาใช้กับการดำรงชีพได้อย่างถูกต้อง 3.การจัดห้องเรียนพิเศษ สำหรับเด็กที่มีความสามารถเฉพาะทางนั้นเป็นการสมควรแล้ว เพราะจากงานวิจัยต่างๆในต่างประเทศ มักจะมีข้อสรุปตรงกันว่า "เมื่อนำเด็กที่มีพรสวรรค์เหล่านี้มาเรียนรวมกันแล้ว จะสามารถพัฒนาอัจฉริยภาพได้ดีขึ้น และดีกว่าปล่อยทิ้งขว้างไปตามยถากรรม" - ในหลายประเทศจึงมีการจัดกลุ่มการเรียนรู้ตามความสามารถที่เรียกว่า ห้อง คิง, ควีน, วิทย์ เป็นต้น - ในการจัดการสอนสำหรับเด็กพิเศษ ก็เพื่อให้เกิดการฝึกฝนไปพร้อมกันได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง - ความรู้ที่เกิดจากการรับรู้ จะเป็นการแปลสารโดยใช้ประสบการณ์เดิม (จะผิด-ถูก ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัว) - ต้องนำมาฝึกฝนจนชำนาญ(หมั่นคิด+หมั่นทำ) จึงจะถูกต้องและสามารถนำไปใช้การได้จริง - เรียนพิเศษ เป็นเรื่องพิเศษสำหรับคนพิเศษ ถ้าเพียงแค่รับรู้แล้วไม่นำมาฝึกฝน,ฝึกทำ มันก็แค่ผ่านไปเท่านั้น "ขอขอบคุณ คุณครู ผู้สอนสั่ง...ผู้เป็นดั่ง แสงไฟ ให้ทางฉัน คิดถึงครู ผู้ชรา มานานวัน...ฝันถึงวัน ที่ฉันได้ กลายเป็นครู" |
|
|