เถียงกันไม่เลิก GAT-PAT

[หยินหยาง]

ข้อสอบ GAT/PAT 2 มาตรฐานมีสิทธิ์โดนฟ้อง

ทปอ.ส่ายหน้าไอเดีย "ไชยยศ" ออกข้อสอบ GAT/PAT สองมาตรฐาน "ประสาท" ชี้อาจเป็นช่องโหว่ทำให้เด็กฟ้องร้องภายหลังได้ ย้ำสอบ GAT/PAT เป็นการวัด "ความถนัด" ไม่ใช่ยึดโยงกับหลักสูตรเหมือนการสอบ "โอเน็ต"
จากกรณีที่นายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) มีแนวคิดเสนอให้ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ซึ่งมีมติลดการสอบความถนัดทั่วไป GAT และความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการหรือ PAT เหลือปีละ 2 ครั้ง คือ ในเดือน ต.ค. และ มี.ค. โดยจะเริ่มใช้ในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลาง การรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชั่นกลางปีการศึกษา 2555 เป็นต้นไปนั้น โดยนายไชยยศเสนอให้การสอบ GAT, PAT เดือน ต.ค. ออกข้อสอบตามเนื้อหาเท่าที่เด็กเรียนไปแล้วคือ 5 ภาคเรียนท่านั้น
ส่วนการสอบในเดือน มี.ค. นายไชยยศเสนอว่า ให้ออกข้อสอบให้ครบ 6 ภาคเรียน เพราะเด็กเรียนจบหลักสูตร ม.ปลาย แล้ว เพื่อไม่ให้เด็กต้องไปกวดวิชา และเรียนในห้องเรียนจนจบนั้น ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในฐานะประธาน ทปอ. กล่าวว่า ข้อเสนอดังกล่าว ทปอ.คงไม่สามารถปฏิบัติได้ เนื่องจากการสอบวัดความรู้เพื่อนำผลคะแนนสอบไปเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา ต่อในสถาบันอุดมศึกษานั้น ข้อสอบจะต้องได้มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาข้อสอบ GAT/PAT ก็มีมาตรฐานเดียวกันทุกครั้ง และเปิดโอกาสให้เด็กเลือกผลสอบครั้งที่ดีที่สุดมาสมัครสอบ ดังนั้นหากเครื่องมือที่ใช้วัดในการสอบไม่ได้มาตรฐานหรือเกิดความลักลั่นกัน ก็จะเกิดการฟ้องร้องได้ และที่ผ่านมาโรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนด้านเนื้อหาให้ครบทั้งหลักสูตร ม.ปลาย ภายใน 5 ภาคเรียน ส่วนภาคเรียนที่ 6 จะเป็นการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของศิษย์ กับโรงเรียน หรือกิจกรรมสาธารณะ
ด้าน ผศ.ดร.พงษ์อินทร์ รักอริยะธรรม รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะประธานคณะทำงานศึกษาแอด มิชชั่นฟอรั่มของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า เป็นแนวคิดที่นำไปสู่การปฏิบัติได้ยาก เพราะหากการสอบ 2 ครั้งมีเนื้อหาไม่เท่ากันตามที่นายไชยยศเสนอมา ก็จะทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบเรื่องมาตรฐานข้อสอบ ซึ่งมหาวิทยาลัยคงต้องเลือกการสอบครั้งที่สมบูรณ์ที่สุด และเชื่อว่าหากข้อสอบมี 2 มาตรฐานจะทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายตามมา
"การสอบ GAT/PAT เป็นการสอบวัดความถนัด ซึ่งมีเนื้อหาตามสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตร เชื่อมโยงอยู่เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ส่วนการสอบที่เชื่อมโยงกับเนื้อหาสาระ การเรียนรู้ตามหลักสูตรจริงๆ คือ แบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต ดังนั้นเนื้อหาของสอบ GAT/PAT จึงไม่จำเป็นต้องยึดว่านักเรียนจะต้องเรียนครบตามหลักสูตร"
ขณะที่ ศ.ดร.ละออศรี เสนาะเมือง คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ในฐานะตัวแทนสภาคณบดีคณะวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ทวท.) กล่าวว่า คิดว่านายไชยยศคงพยายามหาแนวทางแก้ปัญหาไม่ให้เด็กไปวิ่งรอกกวดวิชา แต่ใน ทางปฏิบัติต้องไปดูว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะในการออกข้อสอบต้องสามารถวัด ความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถของเด็กได้ อย่างข้อสอบวัดความถนัดทางด้าน วิทยาศาสตร์ เนื้อหาสาระต้องสามารถวัดความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ของนักเรียน ว่าเพียงพอศึกษาต่อยอดในระดับอุดมศึกษาหรือไม่ แต่ไม่ใช่การวัดเนื้อหาทางวิชาการทั้งหลักสูตร ดังนั้นข้อสอบวัดความถนัดจึงไม่จำเป็นต้องตรงกับหลักสูตร ม.ปลาย ทั้งหมด แต่ต้องเชื่อมโยง บูรณาการ และสามารถจำแนกได้ว่าเด็กมีความถนัดเรื่องนั้นจริงๆ.

ที่มา:http://www.thaipost.net/news/080311/35396



"ไชยยศ" ดื้อเข็นสอบ GAT/PAT 2 ครั้ง


"ไชยยศ" ดื้อไม่หยุดไอเดียบังคับเด็กสอบ GAT/PAT 2 ครั้ง อ้าง ทปอ.ไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วต้องการนำคะแนนสอบ 2 ครั้งมาเฉลี่ยในแอดมิชชั่น หงุดหงิดสั่ง สกอ.สรุปแนวคิดเสนอ ทปอ.อีกรอบ
นายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยังไม่เลิกล้มความคิดที่จะให้ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) จัดสอบความถนัดทั่วไป GAT และความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ ปีละ 2 ครั้ง คือในเดือน ต.ค.และ มี.ค. แต่ข้อสอบในเดือน ต.ค.จะไม่เต็มหลักสูตร ขณะที่การสอบในเดือน มี.ค. ข้อสอบที่ออกจะมีเนื้อหาเต็มหลักสูตรที่เด็กเรียนจบ ซึ่งส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว เพราะจะทำให้เกิดการลักลั่นและทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมายขึ้นได้ ล่าสุดนายไชยยศยังคงยืนยันให้ ทปอ.สอบตามแนวความคิดของตนเอง
"ทปอ.ยังไม่เข้าใจแนวคิดของผม สาเหตุที่ให้สอบ 2 ครั้ง เพราะต้องการให้นำคะแนนทั้ง 2 ครั้งมาเฉลี่ยกันเพื่อนำไปใช้ในการแอดมิชชั่น ซึ่งเท่ากับว่าเด็กจะต้องสอบทั้ง 2 ครั้ง จะเลือกสอบครั้งใดครั้งหนึ่งไม่ได้" นายไชยยศกล่าว
ส่วนที่ว่าจะเป็นการบังคับให้เด็กต้องสอบทั้ง 2 ครั้งหรือไม่นั้น นายไชยยศกล่าวว่า ตนคิดว่าการสอบ GAT/PAT ที่ผ่านมาเด็กก็สอบมากกว่า 1 ครั้งอยู่แล้ว เพราะต้องการเลือกคะแนนครั้งที่ดีที่สุด และการที่ตนเสนอแนวทางนี้ก็เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้เด็กต้องไปกวดวิชา การออกข้อ สอบเนื้อหาไม่เกินจากหลักสูตรและเด็กไม่ต้องไปวิ่งสอบรับตรง ดังนั้น ข้อสอบ GAT/PAT ก็จะต้องออกเนื้อหาที่อยู่ในหลักสูตรที่เด็กเรียน โดยครั้งแรกในการสอบเดือน ต.ค. ให้ออกข้อสอบตามเนื้อหาเท่าที่เด็กเรียนคือ 5 เทอม ส่วนในการสอบเดือน มี.ค. ค่อยออกข้อสอบ 6 เทอม แล้วให้นำคะแนนทั้ง 2 ครั้งมาเฉลี่ยกัน จากนี้ตนจะมอบหมายให้ ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ไปสรุปแนวคิดของตนเองเพื่อเสนอต่อ ทปอ.ต่อไป
รมช.ศธ.กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีการจัดตั้งศูนย์กลางการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา ต่อในระดับอุดมศึกษา หรือศูนย์รับตรงของ สกอ.นั้นต้องไปหารือกับ ทปอ.อีกครั้ง หาก ทปอ.มีความพร้อมจัดตั้งศูนย์รับตรงกลางร่วมกันของ ทปอ. สกอ.ก็ยินดีให้ความร่วมมือ โดยขณะนี้ สกอ.ได้เสนอภาพรวมของระบบรับตรงที่ สกอ.จะดำเนินการไปให้ ทปอ.พิจารณาแล้ว
ด้าน ดร.สุเมธกล่าวว่า การสอบ GAT/PAT เป็นการวัดความถนัด ไม่ใช่การวัดเนื้อหาตามหลักสูตร ดังนั้นข้อสอบวัดความถนัดจึงไม่จำเป็นต้องตรงกับหลักสูตร ม.ปลายทั้งหมด แต่ต้องเชื่อมโยง บูรณาการ และสามารถจำแนกได้ว่าเด็กมีความถนัดเรื่องนั้นจริงๆ.

ที่มา http://www.thaipost.net/news/090311/35443