Mathcenter Forum

Mathcenter Forum (https://www.mathcenter.net/forum/index.php)
-   ฟรีสไตล์ (https://www.mathcenter.net/forum/forumdisplay.php?f=6)
-   -   มาเเต่งเรื่องขำๆกันดีกว่าคับ (https://www.mathcenter.net/forum/showthread.php?t=3672)

m_Innocent 05 พฤษภาคม 2008 19:34

อันนี้เห็นจากเว็บคับมาฝาก

ชื่อธาตุ : MAN

สูตรทางเคมี : MA+N

ผู้ค้นพบ : WOMAN

ลักษณะทั่วไป : ความยาว 170 ซม. แต่อาจแปรเปลี่ยนได้จาก 150 - 200 ซม. แล้วแต่ว่าพบในภาคใด



คุณสมบัติทางพันธุศาสตร์

1. เจริญเติบโตได้ดีในนิโคตินและแอลกอฮอล์

2. ชอบความรุนแรง

3. ตามธรรมชาติ มีกลิ่นเหม็น

4. เฉาง่าย หากไม่ได้รับการเอาอกเอาใจ

5. อยู่ไม่เป็นที่ ชอบอยู่ตามที่ต่างๆ หาตัวยาก

6. แปรเปลี่ยนไปได้หลายสปีชี แล้วแต่สถานการณ์

7. การตอบสนองช้า ทนต่อการเสียดสี ได้ดี



คุณสมบัติทางเคมี

1. มีสารประกอบใช้ทำยาระบาย และ ยาเบื่อ ได้ดี

2. ทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับสิ่งสวยงามที่ผ่านหน้า

3. เปลี่ยนได้หลายสี ตามแต่ถิ่นที่อยู่อาศัย

4. มีคุณสมบัติเปลี่ยนรูปทรงได้เมื่อพบตระกูลใกล้เคียง



การทดสอบ

1. เมื่อตัดเนื้อเยื่อมาวิเคราะห์ พบว่าส่วนหน้ามีความหนา มากกว่าส่วนอื่นๆ

2. เมื่อสุ่มตัวอย่างทดลองเลี้ยงพบว่า ชอบเกาะยึดเป็นปราสิต มากกว่าเจริญเติบโตด้วยตัวเอง



ประโยชน์

1. ในสายพันธ์ที่ดี หากนำมาไว้ในบ้าน เชื่อว่าจะทำให้ร่ำรวยเงินทอง แต่ไม่ค่อยพบในประเทศไทย

2. เป็นเพื่อนเล่นยามเหงา

3. เป็นยามเฝ้าบ้านที่ดี เอาไว้ป้องกันตัวก็ได้

4. เป็นพาหนะใช้แบกขนสัมภาระได้ ยามชอปปิ้ง



ข้อควรระวัง

1. ควรเลี้ยงด้วยความระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจออกนอกลู่นอกทาง

2. ไม่ควรให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เพราะจะยิ่งช่วยเร่งคุณสมบัติทางพันธุศาสตร์

thebigbenz 05 พฤษภาคม 2008 21:15

ฮามากๆครับ โดยเฉพาะเรื่องนักศึกษา 3 คน

mathematiiez 06 พฤษภาคม 2008 12:24

>,< ฮาโลดดดด

cadetnakhonnayok.com 06 พฤษภาคม 2008 14:27

เรื่องจริง
ในวิชาเลข อาจารย์กำลังพิสูจน์ สูตร บนกระดาน
อยู่ๆนักศึกษาก็ตะโกนขึ้นมาว่า
"สี่หาย" คะอาจารย์
อาจารย์ดูตามแล้วบอกว่า
หายจริงๆด้วยแล้วก็เติม 4เข้าไป

m_Innocent 06 พฤษภาคม 2008 19:40

แหะๆ เพื่อนๆชอบก้ดีใจคับ

ไงเดียวจาลองพิมมาลงใหม่นะคับ

ถ้าใครมีความคิดเจ๋งๆก้มาลงได้นะคับ

จะได้ขำด้วยกัน

คusักคณิm 06 พฤษภาคม 2008 20:20

นิทานเรื่อง ... "ชายตาบอดกับแว่นตาวิเศษ"


วันนี้ผมมีนิทานจะมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังครับ

นิทานเรื่องนี้มีชื่อเรื่องว่า ...



"ชายตาบอดกับแว่นตาวิเศษ"

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง มีชายตาบอดคนหนึ่งเขาอยู่คนเดียวน่าสงสารมาก

เขาหาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างเช็ดกระจกตามร้านขายของต่าง ๆ ในเมืองหลวงเป็นประจำ ซึ่งก็จะได้เศษเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใช้เลี้ยงชีพ

เดิมทีเขาไม่ได้เดินเช็ดกระจกตามร้านค้าหรอก แต่เขาไปเดินเช็ดกระจกรถยนต์ตามสี่แยกไฟแดง ซึ่งตำรวจจราจรเห็นแล้วก็สงสาร กลัวว่าเขาจะโดนรถยนต์ตายเสียก่อนเพราะว่าตาบอด ตำรวจจราจรก็เลยแนะนำให้เขาไปเช็ดกระจกตามร้านค้าแทน

อยู่มาวันหนึ่ง ชายตาบอดคนนี้ก็ไปเช็ดกระจกที่ร้านแว่นตาท็อปจรัญ นางฟ้าผู้หญิงในชุดกระโปรงสั้นเห็นเข้าก็รู้สึกสงสารเขาเป็นอย่างมาก นางฟ้าฯเลยมอบแว่นตาวิเศษให้เขาหนึ่งอัน ซึ่งเป็นแว่นตาดำที่ใส่แล้วทำให้ชายตาบอดกลับมามองเห็นได้เป็นปกติเหมือนอย่างเดิม

ชายตาบอดจึงดีใจเป็นอย่างมาก พร้อมกับกล่าวขอบคุณนางฟ้าฯ แต่นางฟ้าฯ กลับบอกแก่เขาว่า

"ไม่เป็นไรหรอกลุง ไม่ต้องขอบคุณหรอก เอามา 499 บาทก็แล้วกัน เดี๋ยวแถมร่มให้อีก 1 คัน"

ชายตาบอดจึงควักเงินไปให้แก่นางฟ้า 500 บาท พร้อมกับบอกว่า

"ไม่ต้องทอน ที่เหลือทิป"

แล้วชายตาบอดก็รับแว่นตาพร้อมกับร่มจากนางฟ้ามา เมื่อชายตาบอดใส่แว่นตาดำวิเศษแล้ว ชายตาบอดก็มองเห็นสิ่งต่าง ๆ เหมือนคนปกติทั่วไป

ด้วยความที่ชายตาบอดไม่เคยเห็นสิ่งต่างมาเลยตั้งแต่เริ่มตาบอด ชายตาบอดจึงตะลึงกับสิ่งที่เขาได้เห็นเป็นอย่างมาก ชายตาบอดจึงหยุดพักและนั่งลงที่ฟุตบาทข้างถนนถัดจากร้านแว่นตาท็อปจรัญนั้นเอง

ชายตาบอดได้นั่งมองเห็นสิ่งต่าง ๆ บนท้องถนน ฝูงคน และความสับสนวุ่นวายอยู่นานหลายชั่วโมง ด้วยความที่เขากลัวว่าถ้านั่งมองอยู่นานเขาจะไม่มีรายได้ ชายตาบอดจึงหากระป๋องเปล่า ๆ ใบหนึ่งมาวางไว้ข้างหน้าตัวเขาด้วย

ชายตาบอดนั่งมองสิ่งต่าง ๆ ไปเรื่อย เขาเห็นคนมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมาเอาเงินมาหยอดลงกระป๋องที่อยู่เบื้องหน้าเขา บางคนหยอดเหรียญห้า บางคนหยอดเงินสิบ บางคนหยอดแบงค์ยี่สิบ บางคนหยอดแบงค์ห้าสิบ บางคนหยอดแบงค์ร้อย บางคนหยอดแบงค์ห้าร้อย

พอชายตาบอดเห็นคนเอาแบงค์ห้าร้อยมาหยอดในกระป๋อง เขาก็รีบหยิบขึ้นมาเก็บใส่กระเป๋าตังค์ของตัวเองเลย เพราะเขากลัวว่าแบงค์ห้าร้อยจะหาย

ชายตาบอดก็เลยมานั่งที่นี้เป็นประจำทุกวัน วันไหนที่แดดออกเขาก็กางร่มที่นางฟ้าฯ ให้มา วันนี้ฝนตกเขาก็กางร่มคันเดิม จนกระทั่ง 1 เดือนผ่านไป เขาได้เงินเป็นจำนวนมากจากคนที่เดินเอาเงินมาหยอดลงกระป๋องให้แก่เขา

ความดังกล่าวก็ทราบไปถึง ท่านอธิ-บ่-ดี กรมประชาสังเคราะห์ ท่านอธิ-บ่-ดี จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่มาจับตัวชายตาบอดคนนี้ไป

หลังจากที่เจ้าหน้าที่มาจับชายตาบอดไป เจ้าหน้าที่ก็นำตัวเขาไปที่แผนกจักษุแพทย์โรงพยาบาลรามาการ์เด้นท์ ซึ่งหมอและพยาบาลกว่า 10 สิบต่างก็ช่วยกันทำเรสิคให้แก่ชายตาบอด

หลังจากที่ชายที่รับการยิงแสงเลเซอร์อยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ชายตาบอดก็กลับมาเห็นได้เป็นปกติ โดยไม่ต้องใส่แว่นตาดำวิเศษอันนั้นอีกแล้ว

ชายตาบอดจึงได้รู้ความจริงว่า ที่แท้จริงแล้วตัวเขาเองไม่ได้ตาบอด แต่เขาเป็นโรคต้อกระจกนั้นเอง เขาจึงเอาเงินได้รับมาจากที่คนต่าง ๆ หยอดกระป๋องให้เขาตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา เป็นเงินจำนวน หนึ่งแสนสองหมื่นบาทถ้วน มอบให้แก่ทางโรงพยาบาลเพื่อเป็นค่าทำเรสิค

แล้วเขาก็นำเงินที่ยังเหลืออยู่อีกประมาณ สามแสนแปดหมื่นกว่าบาท ไปซื้อตั๋วเครื่องบินไปจังหวัดเชียงใหม่ แล้วก็ตั้งรกร้างและใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่เรื่อยมา โดยประกอบธุรกิจร้านขายเครื่องเงินจนร่ำรวยมหาศาล

จบล่ะ ...



นิทานเรื่องนี้เลยสอนให้รู้ว่า...

โรคต้อกระจกสามารถรักษาให้หายได้ ถ้าท่านรีบทำการรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ

อิอิ

>> Kurogo << 08 พฤษภาคม 2008 14:00

ขำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

คusักคณิm 08 พฤษภาคม 2008 14:19

ขำหรอมีอีกนะ
ค้างคาวสามตัว
อาศัยอยู่ในถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ละแวกนั้นมีการแย่งชิงที่อยู่อาศัยกันมาก
ดังนั้นพวกมันจึงตกลงกันว่า
จะพลัดกันออกไปหากินทีละตัว
ตัวละ 3 ชั่วโมง โดยให้อีก 2 ตัวจะได้อยู่เฝ้าถ้ำ

ค่ำวันหนึ่ง ค้างคาวตัวที่ 1
บินออกไปหากินก่อน
แต่มันก็ไปเกินเวลาที่กำหนดไว้ไปร่วม ชั่วโมง
กว่าจะกลับ
ดูปากแล้วไม่มีรอยเลือดติดมาเลย
คาดว่าคงได้กินผลไม้มา

แล้วค้างคาวตัวที่ 2 ก็ออกไป
หากินบ้าง
มันออกไปนานเกินกำหนดถึง 2 ชั่วโมง
กว่าจะกลับมา
และได้อาหารกินคงไม่แตกต่างกับตัวที่ 1 เท่าใดนัก
พอค้างคาวตัวที่ 2 กลับเข้ามาที่ถ้ำ

ค้างคาวตัวที่ 3 ก็ต่อว่าเป็นการใหญ่
ค้างคาวตัวที่ 3 "ไปยังไงว่ะ กูรอ ตั้งนาน หิวจนตาลายหมดเลย"
พูดจบ มันก็รีบบินออกไปด้วยความโมโห


ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที
ค้างคาวก็บินกลับเข้าถ้ำมา
พอมาถึงมัน ก็ไม่พูดไม่จา ได้แต่เอามือ
ปาดเลือดสดๆ ที่ติดอยู่ริมฝีปากออก
ท่าทางคงอร่อยน่าดู

สร้างความสงสัย
ให้ค้างคาวอีก 2 ตัว เป็นอย่างมาก
ว่าเพื่อนไปหาเลือดสด ๆ ใกล้ๆ ได้จากที่ไหน

ค้างคาวตัวที่ 1 "แกไปหากินยังไงว่ะ ถึงได้กินเร็วขนาดนั้น แถมยังได้เลือดสดๆ กินอีกด้วย"

ค้างคาวตัวที่ 3 "พวกแก 2 ตัวเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่หน้าถ้ำไหมว่ะ"

ค้างคาวตัวที่ 1 "เห็น"

ค้างคาวตัวที่ 2 "เห็น"

ค้างคาวตัวที่ 3 "เอ่อ ...............นั้นแหล่ะ ....กรู...กรู...กรู..ไม่เห็นง่ะ

m_Innocent 08 พฤษภาคม 2008 20:21

"ทางแก้ปัญหา"

สามี: เธอพกรูปฉันไว้ในกระเป๋าเสมอ ทำไมหรอ
ภรรยา: อ๋อ ก็ถ้ามีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน ฉันก็จะดูรูปเธอ
แล้วปัญหาก็หายไปเลย
สามี: เห็นมั้ย ว่าฉันเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเธอขนาดไหน
ภรรยา: ใช่ ฉันมองภาพเธอแล้วก็พูดกับตัวเองว่า “ปัญหาอะไรจะมาหนักหนากว่านี้อีกนะ” :happy:

thebigbenz 08 พฤษภาคม 2008 20:32

ฮามากกกกกกกกก ถึงมากที่สุดเลยครับ :D:D:D:D:D:D
:great::great:

คusักคณิm 08 พฤษภาคม 2008 20:36

*เช้าวันนึงของวันที่สดใส*



ครู- นักเรียนคะปัจจัย 4 คืออะไรคะ

นักเรียน- (เงียบไปพักใหญ่แล้วตอบว่า) ไม่ทราบครับ

ครู- ไม่เป็นไรคะแล้วพรุ่งนี้เอาคำตอบมาให้ครูนะคะ



*เย็นวันนั้น*



นักเรียนก้อไปถามน้องว่า

นักเรียน- ปัจจัย 4 คืออะไรหรือน้อง

*ตอนนั้นน้องกำลังดูทีวีอยู่จึงตอบไปว่า*

น้อง- เทเลทับบี้!!!!!

*แล้วนักเรียนก้อไปถามพี่ซึ้งทะเลาะกับคนข้างบ้าน*

นักเรียน- พี่ๆปัจจัย 4 คืออะไรหรอ

*พี่กำลังจะด่าคนข้างบ้านว่า*

พี่- คุณบ้า!!!!!!

*แล้วนักเรียนก้อไปถามพ่อตอนนั้นพ่อกับแม่กำลังทะเลาะกันอยู่*

นักเรียน- ปัจจัย 4 คือไรหรือครับพ่อ

*ตอนนี้แม่จะไปฟ้องยายพ่อจึงบอกไปว่า*

พ่อ- เชิญเลยๆ

*แล้วนักเรียนก้อไปถามแม่ซึ่งแม่กำลังเดินไปฟ้องยาย*

นักเรียน- แม่ๆปัจจัย 4 คืออะไรหรอแม่

*ระหว่างนั้นแม่เจอสุนัขขี้เรื้อนอยู่ตัวนึงจึงพูดไปว่า*

แม่- คุณหมาขี้เรื้อน!!!!

*นักเรียนคนนั้นจึงได้คำตอบทั้ง 4 มา*



*เช้าวันรุ่งขึ้น*



คุณครูก้อถามนักเรียนคนนั้นว่า

คุนครู- ปัจจัย 4 คืออะไรจะนักเรียน

นักเรียน- เทเลทับบี้!!!

คุนครู- เห็นครูเป็นอะไร!!!

นักเรียน- คุณบ้า!!!!

คุนครู- เด๋วไปฟ้องอาจารย์ใหญ่นะ

นักเรียน- เชิญเลยๆ

คุนครู- เห็นอาจารย์ใหญ่เป็นอะไร(เริ่มโกรธ)

นักเรียน- คุณหมาขี้เรื้อน



นี้คือความคิดของเด็กๆผู้ปกครองโปรดพิจารณา

m_Innocent 15 พฤษภาคม 2008 21:27

ไม่รู้ขำเปล่านะคับไงก็ลองอ่านดู

อาการน่าวิตก

หลังจากโทรเรียกหมอมาดูอาการภรรยาในห้องนอน
สักครู่หมอก็ออกมาขอไขควงไปอันหนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็ออกมาขอคีม
และสองสามนาทีต่อมาก็ออกมาขอค้อนกับสิ่ว คราวนี้เจ้าของบ้านทนไม่ได้
จนต้องถามขึ้น

"ภรรยาผมเป็นอะไรนักหนาหรือหมอ?"
"เอ.. ยังไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมยังเปิดกระเป๋ายาผมไม่ได้เลย"

ไม่เลวนัก

ชายหนุ่มไปสมัครงานในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง
ผู้จัดการอ่านดูใบสมัครก็ส่ายหัว
เพราะตามประวัติ เขาถูกไล่ออกจากที่ทำงานเก่า

"ประวัติคุณไม่ดีเลย ที่ทำงานเก่าเขาไล่คุณออกทุกที่เลย"
"ครับ" ผู้สมัครยอมรับ
"แต่อย่างน้อยผมก็เป็นคนสู้งานนะครับ ผมไม่เคยลาออกจากที่ไหนมาก่อนเลย

m_Innocent 15 พฤษภาคม 2008 21:49

อันนี่เป็นเรื่องทีผมเคยอ่านคับ ไงจะพิมเท่าที่จำได้นะคับ ขำดี

เรื่อง ขำๆ ของเด็กอยากรู้

เป็นเรื่องของเด็กน้อยคน หนึ่งซึ่งมีครอบครัวที่อบอุ่นซึ่งในครอบครัวมีด้วยกันทั้งหมด 5 คน

วันนึงขณะที่เด็กน้อยนั่งกินข้าว เช้าอยู่บนโต๊ะอาหาร เด็กน้อยมองเห็นคุณพ่อดู ข่าว TV เกี่ยวกับการเมือง

" พ่อ...การเมืองคืออะไรอ่ะ" เด็กน้อยถามพ่อด้วยความสงสัย พ่อทำท่าทางคิดหนัก ก่อนจะตอบกลับไปว่า

" อืม...มันก็ไม่ยากหรอกลูก เปรียบเทียบง่ายๆนะลูก"

เปรียบ พ่อเป็น พ่อค้านายทุน ก้อคอยหาเงินไง

เปรียบ แม่เป็น รัฐบาล ก็คอยเอาเงินจากพ่อมาบริหารไง

เปรียบ ตัวลูกเองเป็น ประชาชน ที่ต้องมีรัฐบาล คอยดูแล

เปรียบ น้องชายของลูกเป็น อนาคตของชาติ

เปรียบ พี่แจ๋ว (พี่เลี้ยงของเด็กในบ้าน) เป็นชนชั้นแรงงาน

เด็กน้อยทำหน้า งง ก่อนจะปล่อยให้ความสงสัยนั้นอยู่ในหัวตลอดทั้งวัน

จนเมือถึงเวลาตกดึกของวันนั้น ขณะเด็กน้อย กำลังหลับ " แงๆๆๆๆๆ" เสียงน้องชายตัวน้อยของเค้าร้องดังขึ้น

เด็ก น้อยเดินไปดูที่เปลจึงได้รู้ว่าน้อยชายของเค้า ขี้แตก

เด็กน้อยรู้ทันทีว่าต้องไปตามแม่มาดู น้อง ขณะเดิ นไปตามแม่เด็กน้อยได้ยินเสียงออกมาจากห้องของ พี่แจ๋ว พี่เลี้ยงคนสวย

ด้วยความสงสัยจึงแง้มประตูดูพบ ว่า พ่อเค้ากำลังอยู่บนตัวของพี่แจ๋ว

เด็กน้อย จึงเดินไปที่ห้องของแม่พบว่าแม่ของเค้ากำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่

เด็กน้อยพยายามปลุกแต่ก็ไม่ยอมตื่น เด็กน้อยท้อใจเดิน กลับห้องนอนและ หลับไปหลังจากคิดอะไรได้มากมาย

ตื่นตอนเช้าขณะลงมาจากห้องเพื่อกินข้าวเช้า เด็กน้อยเห็นพ่อของเค้า

" พ่อๆ ผมรู้แล้วละว่าการเมืองเป็นยังไง" เด็กน้อยยิ้ม ที่ตัวเองเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่บางคนยังไม่เข้า ใจ

" แล้วมันเป็นยังไงละไหนบอกพ่อสิลูก" พ่อถาม ด้วยความอยากรู้:confused:

" การเมืองก็คือ .... การที่พ่อค้าหรือนายทุน กดขี่ชนชั้นแรงงาน!! ในขณะที่ รัฐบาลก็หลับหู หลับตาไม่สนใจประชาชนแม้ว่าประชาชนจะเรียกร้อง ยังไงก็ตาม!! โดยทิ้งอนาคตของชาติให้จมบนกองขี้!!:happy::sweat:

คusักคณิm 16 พฤษภาคม 2008 07:36

aพาพ่อไปที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง เพื่อหาซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้ท่าน และแวะหาอะไรกินก่อนในศูนย์อาหาร ผมสังเกตเห็นพ่อเอาแต่จ้องมองเด็กวัยรุ่นที่นั่งโต๊ะฝั่งตรงข้าม aคนนั้นโกรกผมหลากหลายสี เช่นทั้งเขียว แดง ส้มและน้ำเงิน
aก็รู้เหมือนกันว่า พ่อของผมมองดูอยู่ตลอดเวลา เมื่อเด็กหนุ่มกินอาหารเสร็จ จึงลุกขึ้นมาถามแบบถากถาง

a : มีปัญหาอะไรเหรอ..คุณเฒ่า ไม่เคยทำอะไรบ้าๆบอๆแบบนี้ มาก่อนเลยรึไง

ผมรีบกืนอาหารเพราะกลัวสำลัก ผมรู้ดีว่าพ่อเป็นคนอารมณ์ร้อนขนาดไหน
พ่อมองสบตาเด็กหนุ่มคนนั้นแบบไม่ครั่นคร้าม ก่อนจะตอบว่า

พ่อ : เคยสิ...คุณหนู ข้าเคยเมาแหลก เลยไปเห็นนกยูงตัวหนึ่งเข้า เลยคิดว่านกยูงเป็นนายเข้า

m_Innocent 28 พฤษภาคม 2008 21:45

ผมหมดมุกเเล้วละคับ เลยเอาบทความมาฝากแทน บางคนอาจเคยอ่าน แต่คนที่ไม่เคยอ่านลองอ่านดูคับ ผมอ่านเเล้วยังยิ้มเลยคับ

เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรัก "ในหลวง"
ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง

เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ ได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด

และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลาซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า

"ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ" แม่ค้าตอบว่า

"ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาทและที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ"

เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน

เช้า วันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า

นางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็กได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชายขอพูดสายกับฟ้าหญิง

ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า

คนที่แบงค์

นางสนองพระโอฐก็งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า

แต่พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ก็ที่แบงค์จริงๆนะ

ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ... ขนลุกเลย (ทรงตัสกับในหลวงท่านอยู่นั่นเอง)

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จ ขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง

ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน

เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า

"ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า "

มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า

"มีทั้งหมดสามตัวพระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็กตรัสอ้อแอ้อยู่เลยและทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"

เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง

เมื่อ ครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น

เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาต นำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ

ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวงและไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน

ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า

"ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ" เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า

"เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."

ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะ ผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้

มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไป พระราชทานปริญญาบัตร ให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า

"ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า" ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า

"เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"


เคยมีเรื่องเล่า ให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว

แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า

"ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์" ในหลวงทรงตรัสว่า

"ขอเดชะ พระหมดแล้ว"


วันหนึ่งพระองค์ ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย

พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท

แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่า

ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร

แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่

แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า

"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"

ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ

เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ ก็กราบบังคมทูลว่า

"เอ้อ ทรง...อ้า ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ" พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า

"ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง" แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า

เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ

เรื่องนี้รุ่น พี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า

มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จ พระราชทานปริญญาบัตรอธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า

มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า

"เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว" และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ...

ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึกตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม> >> ********> >>

ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน...


เวลาที่แสดงทั้งหมด เป็นเวลาที่ประเทศไทย (GMT +7) ขณะนี้เป็นเวลา 10:38

Powered by vBulletin® Copyright ©2000 - 2024, Jelsoft Enterprises Ltd.
Modified by Jetsada Karnpracha