|
สมัครสมาชิก | คู่มือการใช้ | รายชื่อสมาชิก | ปฏิทิน | ข้อความวันนี้ | ค้นหา |
|
เครื่องมือของหัวข้อ | ค้นหาในหัวข้อนี้ |
#1
|
|||
|
|||
วิจัยเด็กไทยอ่อนคณิต-วิทย์
วิจัยเด็กไทยอ่อนคณิต-วิทย์
เทียบกับ 59 ชาติ เรียนหนักที่สุดแต่ตํ่ากว่ามาตรฐาน ประเทศไทยขายหน้าชาวโลกอีกแล้ว เผยผลวิจัยผลสัมฤทธิ์การเรียนคณิต-วิทย์ของเด็กม.2 ต่ำกว่ามาตรฐานโลกทั้ง 2 วิชา ทั้งที่มีชั่วโมงเรียนมากเป็นอันดับ 2 ของโลก สสวท.ชี้สาเหตุสำคัญเพราะขาดแคลนครู และไม่มีแรงจูงใจดึงคนเก่งมาเป็นครู แต่ตั้งเป้าอีก 10 ปี จะพัฒนาข้ามมาตรฐานโลกให้ได้ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี (สสวท.) ได้แถลงผลการวิจัยโครงการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ร่วมกับนานาชาติ ปี 2550 (Trends in International Mathematics and Science Study 2007) หรือ TIMSS-2007 โดย ดร.ปรีชาญ เดชศรี ผู้ช่วย ผอ. สสวท. เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวเป็นการประเมินนักเรียนระดับชั้น ม.2 ในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระหว่างปี 2547-2551 โดยมี 59 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย อิตาลี นอร์เวย์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไทย ฯลฯ และ 8 รัฐเข้าร่วม ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ในภาพรวมวิชาคณิตศาสตร์ ประเทศที่ได้คะแนนสูงสุด 5 ประเทศ ได้แก่ จีน-ไทเป เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น โดยประเทศไทยอยู่อันดับที่ 29 ได้ 441 คะแนน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติที่กำหนดไว้ 500 คะแนน ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์ คะแนนสูงสุด 5 ประเทศ คือ สิงคโปร์ จีน-ไทเป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอังกฤษ ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 21 ได้ 471 คะแนน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติที่ 500 คะแนนเช่นกัน และเมื่อเปรียบเทียบกับผลประเมินปี 2542 พบว่า ประเทศไทยลดลงทั้ง 2 วิชา คือ คณิตศาสตร์ จาก 467 คะแนน เหลือ 441 คะแนน และวิทยาศาสตร์ จาก 482 คะแนน เหลือ 471 คะแนน ดร.ปรีชาญ กล่าวต่อไปว่า ในประเทศไทยเมื่อแยกตามสังกัดพบว่า โรงเรียนสาธิตในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้คะแนนสูงสุด รองลงมาคือ สังกัด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และต่ำสุดคือโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และยังพบว่าโรงเรียนขนาดใหญ่จะมีคะแนนอยู่ในระดับสูง ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กจะมีคะแนนต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าโรงเรียนสาธิตและโรงเรียนเอกชนมีความพร้อมมากกว่าโรงเรียนของรัฐ และโรงเรียนขนาดเล็กยังมีปัญหา ดังนั้นรัฐบาลจึงควรทุ่มเททรัพยากรเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กเป็นพิเศษ สำหรับสาเหตุที่ผลสัมฤทธิ์ทั้ง 2 วิชาต่ำกว่าการประเมินครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศไทยมีการขยายฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงทำให้คะแนนเฉลี่ยภาพรวมลดลง รวมถึงการมีโรงเรียน ขนาดเล็กมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ สสวท. มีแผนจะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้ง 2 วิชาของเด็กไทย ให้มีคะแนนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยนานาชาติให้ได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ด้าน ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร รอง ผอ. สสวท. กล่าวว่า ผลการวิจัยยังระบุว่าประเทศไทยจัดเวลาเรียน 2 วิชาดังกล่าวสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก คือประมาณ 35 คาบต่อสัปดาห์ สะท้อนให้เห็นว่า การจัดเวลาเรียนมาก ๆ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้น ซึ่งตนมองว่าเหตุผลที่ทำให้คะแนนต่ำลง เพราะปัญหาขาดแคลนครูเป็นหลัก โดยเฉพาะนโยบายลดอัตรากำลังคนตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด ในขณะที่ไม่มีมาตรการจูงใจให้คนเก่งเข้ามาเป็นครู ที่มา http://www.pantip.com/cafe/wahkor/to.../X8097371.html |
#2
|
||||
|
||||
ก็เรียนเยอะ แต่แบบว่า อานะ
สมัยนี้ประเทศไทย(ไม่ได้หมายถึงทั้งหมดนะครับ)เด็กหลายคนคิดว่า ความรู้ไม่ได้ได้ในรร. แต่เป็นที่เรียนพิเศษ อาจเป็นเพราะว่าในรร.ไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของเด็กหรืออะไรทำนองนี้ละมั้งครับ ที่ต่างประเทศเค้าเรียนน้อยกว่าเราแต่เค้าเอาไปใช้ได้จริง เช่นเรียนเรื่องเมฆ ของเค้าเรียนว่าเมฆเกิดยังไงเมฆลักษณะนี้จะทำให้เกิดฝนหรืออะไร แต่ประเทศไทยเรียนละเอียดไปซะหมด ท่องชื่อเมฆ ท่องอะไร เอาแต่ท่องแต่ไม่เคยเอาไปใช้ T T เรียนประวัติศาสตร์ เค้าเรียนไว้เปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในอดีตว่าเคยเกิดแบบนี้แล้วนะ ถ้าทำแบบนี้จะเกิดผลเสียอีก แต่เด็กไทย --ท่องพ.ส.ไว้นะตรงนี้ออกข้อสอบบ่อย อะไรทำนองนี้ นี่เป็นเพียงความเห้นส่วนตัวของผมนะครับ อย่าไปถืออะไรจิงจังมากครับ
__________________
1 = 2 ได้ 555+ มันไม่มีอะไรแน่นอน 555+ |
#3
|
||||
|
||||
คนไทยบ้าพลังครับ 555+++
ถ้าพูดถึงเรื่องการศึกษาไทยก็ต้องคุยกันยาวเลยครับ
__________________
เหนือฟ้ายังมีฟ้าแต่เหนือข้าต้องไม่มีใคร ปีกขี้ผื้งของปลอมงั้นสินะ ...โลกนี้โหดร้ายจริงๆ มันให้ความสุขกับเรา แล้วสุดท้าย มันก็เอาคืนไป... |
#4
|
|||
|
|||
เรียนเยอะเกิน เลิกซะ บ่ายโมงก็ดี
|
#5
|
||||
|
||||
ผมว่าอีกสาเหตุคือ การที่มีคาบเยอะทำให้งานเยอะตามมา แล้วก็จะเกิดการลอกงานเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ไม่เกิดการคิด
ขอบอกว่า ม.ต้น เรียนกับฝรั่งสบายมากๆเลยครับ 555+++ งานที่ทำก็มีแต่ของครูไทย แต่ที่อื่นอาจจะไม่เหมือนกัน แล้วผมก็ยอมรับว่าผมก็อยู่ในวงจรการลอกนั้นด้วย เหอๆๆ ๆ
__________________
เหนือฟ้ายังมีฟ้าแต่เหนือข้าต้องไม่มีใคร ปีกขี้ผื้งของปลอมงั้นสินะ ...โลกนี้โหดร้ายจริงๆ มันให้ความสุขกับเรา แล้วสุดท้าย มันก็เอาคืนไป... |
#6
|
||||
|
||||
อ้างอิง:
ยิ่งคาบเยอะ การบ้านเยอะ เดี๋ยวอีกหน่อยต้องทำงานคนละวิชาเสร็จแล้วแบ่งกันลอก วงจรการลอก ผมว่าครูเค้าก็คงรุ้อยู่แก่ใจหละว่าลอกกันมา เว้นพวกเนียนขั้นเทพ แต่ถึงยังไงห้ามไปก็ไม่ฟัง 555+
__________________
1 = 2 ได้ 555+ มันไม่มีอะไรแน่นอน 555+ |
#7
|
|||
|
|||
อย่าที่คห.ด้านบนกล่าวมา
อาจารย์ต่างชาติไม่ค่อยสั่งการบ้านเลย ถ้าสั่งการบ้านก็จะน้อยมากๆ (เอ๊ะ หรือ เพราะว่าเป็นวิชาภาษาอังกฤษ) ไม่รู้สิ ถ้าช่วงไหนงานเยอะๆ ก็แบ่งกันทำ แล้วสลับกันลอก (สำหรับผมนะ) - - |
#8
|
||||
|
||||
ผมว่าครูไทยส่วนใหญ่สอนเพื่อเงินมากกว่าสอนเพื่อเด็ก
__________________
จด จด จด |
#9
|
||||
|
||||
ครับ ครูไทยส่วนมากสอนเพื่อเงินจริงๆแหล่ะครับ
มีหลายคนยอมเสียเงินไปเรียนพิเศษกับครูแต่ละคนที่สอนวิชานั้นๆ เพื่อให้ได้เกรดดีๆงามๆ |
#10
|
||||
|
||||
อ้างอิง:
การศึกษาเลยไม่ก้าวหน้า แต่สุดท้าย เด็กที่ยอมเรียนพิเศษเพื่อ$เกรด$ส่วนใหญ่จะ$เอ็นท์ไม่ติด$ไม่ก็ $ได้คณะที่คะแนนไม่สูง$
__________________
|
#11
|
||||
|
||||
คือผมว่าหลักสูตรใหม่ชอบอ้างว่าไม่ให้ท่องจำทั้งที่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นเลยครับ
การที่เรียนมากไปมันทำให้เราไม่มีเวลาทุ่มเทสิ่งที่เราถนัดได้เต็มที่ต้องมาอ่านวิชาโน้นนี้ คือผมว่าวิชาสังคม-ประวิติศาสตร์แค่สอนให้เด็กรักชาติก็พอแล้วล่ะครับ ไม่เห็นจำเป็นต้องท่องมากมายเลย ป.ล.ผมเคยเจอเด็กคนหนึ่งอยู่ม 3 แต่ยังอ่านภาษาไทยไม่ออกเลย งงครับ
__________________
สัมหรับคณิตศาสตร์ ผมไม่มีแม้ซึ่งพรสวรรค์ไม่มีแม้โอกาสด้วยอยุ่ต่างจังหวัด จะมีก็แต่ความรักที่ทุ่มเท.... |
#12
|
||||
|
||||
ในความคิดของผม
ต้องวิจัยถึงวิถีชีวิตระหว่างคนไทยกับต่างชาติเป็นปีๆไปเลยแล้วมาเปรียบเทียบดูว่าอะไรที่ทำให้เราต่างกันครับถึงจะเกิดการพัฒนาการได้อ ย่างถูกทางครับไม่ใช่มาเปลี่ยนระบบการสอน&สอบไปๆมาๆครับ
__________________
เหนือฟ้ายังมีฟ้าแต่เหนือข้าต้องไม่มีใคร ปีกขี้ผื้งของปลอมงั้นสินะ ...โลกนี้โหดร้ายจริงๆ มันให้ความสุขกับเรา แล้วสุดท้าย มันก็เอาคืนไป... |
#13
|
|||
|
|||
อ้างอิง:
เมื่อก่อนก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่พอเวลาผ่านไปถึงได้รู้ว่า เราเรียนหนังสือตามใจผู้อื่นมาโดยตลอด ไม่เคยได้เรียนตามใจตัวเองเลย -------------------------------------------------------------------------------- กลับมาที่ประเด็นของกระทู้ จะโทษระบบการศึกษาของไทยเราอย่างเดียวก็ไม่ได้ครับ มันมีปัจจัยหลายอย่างที่เราต้องพิจารณา ที่อยากจะบอกก็คือว่าประเทศอื่นก็มีปัญหาไม่ต่างกัน แต่ประเทศนั้นอาจจะมีศักยภาพมากกว่าไทยในการแก้ปัญหาพวกนี้ และเขาจริงจังกับเรื่องการศึกษามากกว่าเรา จากการที่ได้สอนเด็กอเมริกันมาเขาก็มีปัญหาไม่ต่างกับเรา บางเรื่องหนักกว่าเราเสียด้วยซ้ำ ปีที่แล้วผมสอนวิชา College Algebra ซึ่งเป็นวิชาระดับม.ปลายที่เราเรียนกันในเมืองไทย แต่เอามาสอนเด็ก ป. ตรีที่ไม่ได้เรียนสายวิทย์ วิชานี้สอนยากมากๆ เพราะเด็กส่วนใหญ่มีพื้นฐานคณิตศาสตร์น้อยมาก ปัญหาใหญ่ที่ผมเห็นคือ เด็กที่นี่ติดเครื่องคิดเลข จะคำนวณอะไรซักอย่างก็ต้องพึ่งเครื่องคิดเลขตลอด แค่การบวกธรรมดาเขาก็คิดไม่เป็นกันแล้ว $10+5$ ก็ต้องกดเครื่องคิดเลขครับ สอบถามนักเรียนได้ความว่า การเรียนการสอนในระดับมัธยมเขาอนุญาตให้ใช้เครื่องคิดเลขได้ แม้กระทั่งในการสอบวิชาคณิตศาสตร์ อันนี้เรื่องจริงและคิดว่าเป็นวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ผู้ใหญ่ปูไว้ให้เด็กแบบผิดที่ผิดทาง เลยกลายเป็นว่า คณิตศาสตร์ ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า ศาสตร์แห่งการคิดและคำนวณ ถูกเปลี่ยนเป็นศาสตร์แห่งการจิ้มเครื่องคิดเลขไป -------------------------------------------------------------- เรื่องข้างบนเป็นเรื่องแย่ๆในระบบการศึกษาอเมริกัน คราวนี้ลองมาดูเรื่องดีๆของเขาบ้าง และลองช่วยกันคิดนะครับว่าคนไทยเราควรจะทำตามเขาไหม เรื่องที่ว่าคือ วัฒนธรรมการลอก ครับ การลอก ที่ไหนก็มีครับตราบใดที่ยังมีคนขี้เกียจอยู่ในโลก แต่คนอเมริกันเขาทำให้การลอกเป็นเรื่องไม่ดีในสังคมเขา มีทั้งการตรากฎหมายและการสร้างค่านิยมที่ดีควบคู่กันไป เพื่อควบคุมเรื่องการลอกโดยเฉพาะ และเปลี่ยน วัฒนธรรมการลอก ให้เป็น วัฒนธรรมการระดมความคิด สองคำนี้มีความหมายใกล้เคียงกัน แต่ ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง การลอกในความคิดผมคือ การหยิบเอาความคิดของผู้อื่นมาเป็นของตัวเองโดยที่ตัวเองไม่ได้มีส่้วนร่วมกับเจ้าของความคิดเลย ในขณะที่การระดมความคิดคือ การรวบรวมความคิดจากคนหลายคนแล้วนำความคิดรวบยอดนั้นมาใช้ร่วมกัน ถ้าใครได้ดูหนัง Hollywood จะพบว่ามีหนังหลายเรื่องที่สอดแทรกวัฒนธรรมการระดมความคิดไว้ในหนัง ในหนังที่มีฉากที่เกี่ยวกับภัยพิบัติหรือมนุษย์ต่างดาวบุกโลก สิ่งที่คุณจะเห็นในหนังคือการระดมผู้เชี่ยวชาญ ในแต่ละเรื่องมานั่งคุยกันและช่วยกันแก้ปัญหา ในสังคมอเมริกันจริงๆเขาก็ทำแบบนี้ครับ กีฬาที่ดูยากมากและจนบัดนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจกฎกติกาก็คือ American Football ซึ่งเป็นกีฬาที่ผมคิดว่ามีการระดมความคิดกันมากที่สุดแล้ว สรุปก็คือว่า คนอเมริกันเชื่อในคำว่า Teamwork มากกว่า คำว่า One Man Show (ข้ามาคนเดียว หรือ ฉายเดี่ยว ในภาษาไทย) จริงๆแล้วการระดมความคิดก็คือการลอกแบบหนึ่งแต่เป็นการลอกที่ดี เพราะทุกคนได้มีส่วนร่วมและไม่เอาเปรียบกัน กลับมาที่การใช้การระดมความคิดในระบบการศึกษาของคนอเมริกันกันบ้าง เด็กอเมริกันส่วนใหญ่จะเรียนกันเป็นกลุ่มครับ หรือที่เรียกกันว่า Study Group เวลาอาจารย์ให้งานหรือการบ้านมาชุดหนึ่ง เด็กๆจะสร้าง Study Group ขึ้นมา แล้วแบ่งงานกันทำ เมื่อแต่ละคนทำงา่นเสร็จแล้วจะนำเอางานแต่ละส่วนมารวมกัน และระดมความคิดเพื่อหลอมงานเป็นชิ้นใหญ่ชิ้นเดียว เมื่อได้ข้อสรุปร่วมกันแล้วแต่ละคนก็จะกลับไปเขียนงานตามความเข้าใจของตัวเอง ไม่ใช่ลอกกันทุกอย่างที่ได้ทำมาร่วมกัน เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะได้งานของตัวเอง ที่ไม่เหมือนคนอื่น ไม่ใช่การลอก แต่เป็นการช่วยกันคิดช่วยกันทำ ผมว่าสิ่งนี้เด็กไทยเราควรเอาอย่างเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพลง Hip-Hop ไม่ใช่วัฒนธรรมสายเดี่ยว แต่เป็นสิ่งนี้แหละที่เราควรเอาอย่างเขา
__________________
site:mathcenter.net คำค้น |
#14
|
|||
|
|||
อ้างอิง:
แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดีครับ = =" เพราะ ทำไป คงไม่ค่อยมีใครมาร่วมกับเราสักเท่าไหร่ หมายเหตุ เพื่อนเป็น AFS ที่ America กลับมา บวก ลบ คูณ หาร เร็วมาก ! แต่ เรียนเลขไม่เข้าใจเลยครับ ไม่รู้จะช่วยเค้ายังไงดี คือเค้าบอกว่า เรียนที่นู้น (เทียบเป็นม.5) เรียนแต่แยกแฟคเตอร์ กับ ทฤษฎีจำนวน อะไรนิดๆหน่อยๆ พอกลับมา ตอนม.5 เจอตรีโกณฯเข้าไป ตอนนี้ ขึ้นม.6 กันแล้ว ช่วยๆ กันติวเรื่องสถิติอยู่ ส่วนเพื่อมผม ก็ไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม เขาบอกว่า สูตรเยอะเกินไป |
#15
|
|||
|
|||
อันนี้จริงอย่างมากครับ
เรียนเยอะแยะแต่ไม่ได้อะไรเลย ไม่ค่อยมีเวลามาทุ่มเทวิชาที่เราสนใจ |
|
|