|
สมัครสมาชิก | คู่มือการใช้ | รายชื่อสมาชิก | ปฏิทิน | ข้อความวันนี้ | ค้นหา |
|
เครื่องมือของหัวข้อ | ค้นหาในหัวข้อนี้ |
#1
|
||||
|
||||
ถึงแม้งบประมาณจะน้อยอย่างไร แต่การพัฒนาความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ก็ไม่ต้องลงทุนมากมายอะไร แค่กระดาษกับปากกา ดินสอ ยางลบ กับคนที่มีไอเดียอะไรดี ๆ ก็แค่นั้น รัฐบาลน่าจะสนับสนุน
ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น อาจจะเป็นแค่เงินค่าวิจัยให้เขาพอยังชีพอยู่ได้ ไม่ต้องไปหาอาชีพเสริม เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาเหล่านี้ก็กินอุมการณ์เป็นหลักใหญ่อยู่แล้วครับ 23 สิงหาคม 2009 11:14 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ nongtum เหตุผล: double post+แก้เล็กน้ิอยโปรดใช้ปุ่มแก้้ไข |
#2
|
||||
|
||||
อ้างอิง:
ขอแค่เชื่อก็พอ
__________________
1 = 2 ได้ 555+ มันไม่มีอะไรแน่นอน 555+ |
#3
|
|||
|
|||
ในประเทศไทย ไม่สนับสนุนนักคณิตศาสตร์ เห็นไหมพวกนักร้อง ดารา เงินเดือน เป็นแสนๆ แต่นักคณิตศาสตร์ไม่ได้อะไร นอกจากความสุขที่ได้อยู่กับคณิตศาสตร์ หรือแม้แต่ความสุขที่นักคณิตศาสตร์จะอยู่กับคณิตศาสตร์คงไม่มีในประเทศไทย จริงๆ ไม่ได้ใช้งบประมาณอะไร แค่ กระดาษ ดินสอและสมอง แค่นั้นเอง กระดาษทิชชู่กับดินสอ ก็ได้ แต่วงการการศึกษาไทยบ้านเราไม่เคยเหลียวแล และยิ่งร้ายกว่านั้นพยายามที่จะลดการเรียนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัย ด้วยความคิดว่า เปล่าประโยชน์ที่จะเรียนคณิตศาสตร์ เพราะเรียนไปไม่ได้ใช้ เนื่องจากแนวคิดนี้ทำให้ประเทศไทยต้องซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศเสมอ ในโรงเรียนคณิตศาสตร์เป็นวิชาประกอบเท่านั้น นักเรียนไม่เคยสนใจเลย สนใจอยากเป็นนักร้อง ดารา เพราะมีเวที มีสื่อ ช่วยประโคมให้ยิ่งใหญ่ นักเรียนไม่สนใจวิชาการ เห็นว่าเป็น ครู อาจารย์ จน เป็นนักร้อง ดารา ทั้งดัง ทั้งเด่น เงินเยอะ เลิกเถอะพวกนักร้อง ดารา ประเทศไทยต้องการนักวิจัย นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ มากกว่า อย่าให้ประเทศไทยแย่ไปกว่านี้เลย ยิ่งกว่านั้นใครได้เป็นนักร้อง ดาราไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่ไหนเรียนฟรี นั่นแสดงว่ามันลามไปถึงมหาวิทยาลัยแล้ว ทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัย หน้าที่เป็นสมองของประเทศ ในครั้งที่ประเทศมีปัญหาเคยมาร่วมทุกข์กับปัญหาอะไรของประเทศบ้าง ไม่มี
ตอนนี้ผมกำลังปั้นนักเรียนกลุ่มหนึ่งให้เป็นเลิศทางคณิตศาสตร์ครับ อย่างน้อยๆ ผมก็เป็นมดตัวเล็กๆ ที่พยายามพัฒนาวงการคณิตศาสตร์ไทย แม้ว่าจะเจ็บปวดที่รัฐบาลไทยไม่สนับสนุนคณิตศาสตร์ และซ้ำร้ายยังหาทางทำลายครู อาจารย์ ที่เก่งๆ ด้านนี้ด้วยซ้ำไป (มีข้อมูลครับ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน) 24 สิงหาคม 2009 05:48 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ ครูนะ |
#4
|
||||
|
||||
อย่าว่าเเต่คณิตศาสตร์เลยครับ ด้านวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเลย
ปล.เห็นด้วยกับคุณครูนะทุกประการ
__________________
You only live once, but if you work it right, once is enough |
#5
|
||||
|
||||
มันไม่มีอาชีพรองรับน่ะครับ เป็นนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ก็เป็นได้แค่ครูอย่างเดียว
__________________
My stAtUs ทำไมยิ่งเรียน แล้วยิ่งโง่หว่าา |
#6
|
||||
|
||||
อ้างอิง:
บึ้มรัฐบาล ~เย้ 555+
__________________
1 = 2 ได้ 555+ มันไม่มีอะไรแน่นอน 555+ 29 สิงหาคม 2009 18:14 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ math_lnw |
#7
|
||||
|
||||
นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นนักวิจัย หรือไปทำงานกับองค์กรทางวิทย์ก็ได้ (แต่คงไม่มีในไทย)
แต่นักคณิตศาสตร์เนี่ย- - ครูสอนพิเศษไง แบบครูเปิ้น 555+ |
#8
|
|||
|
|||
จาก http://www.manager.co.th/Science/Vie...=9520000034199
จะเรียนเลขมากมายไปทำไมให้ปวดหัว? เรียนคณิตศาสตร์แล้วจะทำมาหากินอะไรได้? จบคณิตศาสตร์ใครที่ไหนเขาจะรับเข้าทำงานถ้าไม่เป็นอาจารย์สอนหนังสือ? อีกสารพันคำถามและความคิดที่เกิดจากความไม่เข้าใจคณิตศาสตร์ แต่ต่อไปนี้เตรียมตัวลืมความเชื่อแบบนี้ไปได้เลย โดยเฉพาะในยุคของสังคมที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงรอบด้าน นักเรียนชั้น ม.ปลาย จากโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศกว่า 150 ชีวิต ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของไทย ในกิจกรรมเสวนากับนักวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ระหว่างเข้าค่ายกับโครงการ "ไทย ไซน์ แคมป์ ไทยแลนด์" (Thai Science Camp, Thailand) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 มี.ค.52 ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นของไทยมาให้ความรู้และแลกเปลี่ยนความเห็นกับ เด็กๆ อย่างเป็นกันเอง ซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ ศ.ดร.ยงค์วิมล เลณบุรี อาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นสาขากายภาพ ประจำปี 2550 กล่าวในระหว่างบรรยายเรื่อง "ความเชื่อปรำปรากับวิชาคณิตศาสตร์" ว่าสมัยก่อนผู้คนมักมีความเชื่อว่า เรียนคณิตศาสตร์แล้วจะไปทำอะไรได้นอกจากเป็นครูเงินเดือนน้อยๆ ทว่าปัจจุบันนี้ มีหลายองค์กรที่ต้องการนักคณิตศาสตร์เข้าไปร่วมงานจำนวนมาก และให้ค่าตอบแทนสูง เช่น ธนาคาร บริษัทประกันภัย องค์กรด้านการลงทุนต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องมีนักคณิตศาสตร์ช่วยในการวางแผน วิเคราะห์ข้อมูล หรือบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะนักคณิตศาสตร์ประกันภัย นอกจากนี้ก็ยังสามารถทำงานเกี่ยวกับสถิติ คอมพิวเตอร์ ฟิสิกส์ วิศวกรรมศาสตร์ ก็ได้เช่นกัน "เหตุที่เราต้องเรียนคณิตศาสตร์ เพราะว่าคณิตศาสตร์นั้น เกี่ยวกับการแก้ปัญหา ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์มีปัญหาต้องแก้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับการหาสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น อาหาร ให้เพียงพอต่อความต้องการ หรือการสร้างที่อยู่อาศัย การจัดการโซ่อุปสงค์อุปทาน และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีอยู่ให้เราต้องแก้จนถึงทุกวันนี้" ศ.ดร.ยงค์วิมลกล่าว ทั้งนี้ ผู้ที่จะแก้ปัญหาได้สำเร็จ ต้องเข้าใจปัญหา สามารถตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ถูกต้องได้อย่างชาญฉลาด มีการวางแผนอย่างรอบคอบ และทดลองดำเนินการ เพื่อค้นหาวิธีการที่เหมาะสม ถูกต้องและความสมเหตุสมผล สำหรับความคิด (โบร่ำโบราณ) ที่ว่า "เลือกเรียนสายศิลป์แล้ว แต่ทำไมยังต้องถูกบังคับให้เรียนคณิตศาสตร์อีก ทั้งที่ไม่เห็นจำเป็นจะต้องใช้อีกเลย เอาแค่คำนวณเงินในสมุดบัญชีธนาคารของเราได้ก็พอแล้ว" ศ.ดร.ยงค์วิมลชี้แจงว่า คณิตศาสตร์นั้นมีประโยชน์มากมายกว่าแค่การคิดเงินเท่านั้น คณิตศาสตร์ใช้ได้ทั้งใน "ฮาร์ดไซน์" (hard science) ได้แก่ ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และ “ซอฟต์ไซน์" (soft science) คือ เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา สังคมศาสตร์ และใช้ได้กับวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีทุกสาขา เช่น คอมพิวเตอร์ จรวดและการสื่อสาร เป็นต้น ส่วนด้านศิลปกรรมศาสตร์ สามารถนำคณิตศาสตร์ไปใช้ได้ทั้งด้านสถาปัตยกรรม การวาด การออกแบบ ไม่เว้นแม้แต่ดนตรี ศ.ดร.ยงค์วิมล มีคำแนะนำว่า คนที่ชอบคณิตศาสตร์ ชอบความท้าทาย ชอบอะไรที่ใช้เหตุผล และไม่ชอบท่องจำ สามารถเรียนคณิตศาสตร์ได้เลย ส่วนการเรียนคณิตศาสตร์ให้ได้ดีและสนุกนั้น ต้องหมั่นฝึกฝนทำแบบฝึกหัด ก็จะทำให้ทำข้อสอบได้คะแนนดี เมื่อยิ่งได้คะแนนดี ก็จะยิ่งรู้สึกสนุกมากขึ้นและชอบเรียนวิชานี้มากขึ้น ทำให้ยิ่งชอบทำแบบฝึกหัด และก็ได้คะแนนดี และรู้สึกว่ายิ่งสนุก เป็นวัฏจักรแบบนี้เรื่อยไป นอกจากนี้ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ที่ปรึกษาอาวุโส ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และนักวิทยาศาสตร์ชีวภาพแถวหน้าของไทยก็ได้มาร่วมให้ข้อคิดและคำแนะนำกับ เด็กๆ ด้วย โดยบอกว่า วิทยา ศาสตร์เป็นเรื่องราวของคนหนุ่มสาว และวิทยาศาสตร์มีความสวยงามอยู่ในตัวเองเพราะเป็นเรื่องใหม่ๆ และวิทยาศาสตร์ยังก้าวหน้าเร็วมาก เราต้องตามให้ทัน ต้องมีจิตใจที่กระตือรือล้น มีความขยันและอดทน ใครที่คิดว่าชอบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็เริ่มต้นศึกษาได้เลยแต่เนิ่นๆ เพราะเวลาไม่เคยรอใคร และการเรียนวิทยาศาสตร์ก็อย่าคิดเพียงว่า จะต้องเก่งและชนะ ต้องอาศัยเวลาและความอดทน เมื่อถึงจุดที่ตนเองพัฒนาแล้วก็ต้องหมั่นเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับยกตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกที่ประสบความสำเร็จหรือ เริ่มงานวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น ไอน์สไตน์, ลาวัวซิเอร์, ทิม เบอร์เนอร์-ลี (ผู้สร้างเวิลด์ไวด์เว็บ: www) เมื่ออายุ 25 ปี และชาร์ลส์ ดาร์วิน และพวกเขาเหล่านี้ยังทุ่มเทเวลาศึกษาต่อไปอีกหลายปี เพื่อให้งานมีความสมบูรณ์มากที่สุด ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร นักฟิสิกส์ระดับหัวแถวของไทย เล่าว่าตนเองเป็นเด็กต่างจังหวัด (จ.ตรัง) เดิมที่ไม่ได้คิดจะเรียนวิทยาศาสตร์ แต่มีใจรักอยากจะเป็นครู ทั้งที่ค่านิยมในสมัยนั้นต้องเรียนแพทย์หรือวิศวกรรมศาสตร์เท่านั้น แต่ก็พยายามสอบชิงทุน จนได้ไปเรียนสาขาฟิสิกส์ในอังกฤษและสหรัฐฯ และกลับมาเป็นอาจารย์สอนที่ มศว. โดยมีไอน์สไตน์ และมาดามคูรี เป็นฮีโรในดวงใจ อาจารย์ฟิสิกส์ให้ข้อคิดว่า การเรียนเก่ง ได้เกรดดี ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำงานเก่งด้วย โดยยกตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกอย่าง ดาร์วิน เรียนจบแค่ปริญญาตรีด้วยเกรดระดับปานกลาง หรืออย่างไอน์สไตน์ที่มีประวัติสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเป็นอัจฉริยะมาจากความขยันหมั่นเพียร พร้อมกับให้คำแนะนำว่าให้มองอนาคตหลังเรียนจบด้วยว่าเราจะทำงานอะไรที่ทำแล้วมีความสุขและเป็นประโยชน์ต่อสังคม น.ส.รสสุคนธ์ รุ่งโรจน์โชติช่วง ชั้น ม.5 จากโรงเรียนท่ามะกาวิทยาคม จ.กาญจนบุรี หนึ่งในนักเรียนที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ กล่าวกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ได้ความรู้เพิ่มเติมมากมาย หลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน แล้วยังมีโอกาสได้ซักถามปัญหาคาใจกับอาจารย์สุทัศน์ ที่ติดตามผลงานของอาจารย์มานานแล้ว และยิ่งทำให้รู้สึกว่าวิทยาศาสตร์ยังมีอะไรให้น่าค้นหาอีกมาก และตั้งใจว่าจะเรียนวิทยาศาสตร์แล้วนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับสังคม โดยมีมาดามคูรีเป็นนักวิทยาศาสตร์ในดวงใจ ด้านนายรังสิมันตุ์ เพ็ชรป้อม ชั้น ม.5 โรงเรียนเทพมงคลรังษ์ จ.กาญจนบุรี เผยความรู้สึกว่าหลังจากได้ฟังเรื่องราวจากอาจารย์นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 3 คน ทำให้รู้ว่าวิทยาศาสตร์ยังมีเรื่องน่าสนใจให้ศึกษาอีกมากมาย และความรู้บางเรื่องอาจถูกหักล้างได้เมื่อมีการค้นพบใหม่ ยิ่งทำให้สนใจวิทยาศาสตร์มากขึ้นกว่าเดิมที่สนใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะด้านชีววิทยาและดาราศาสตร์ โดยคิดว่าจะเลือกเรียนสาขาชีววิทยาแน่นอน และหลังจากนั้นจะพยายามศึกษาต่อไปในด้านชีวดาราศาสตร์. แต่ว่าผมก็จบคณิตศาสตร์ที่มหิดล แต่ก็มาเป็นครู 55++ 30 สิงหาคม 2009 10:31 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ pure_mathja |
#9
|
||||
|
||||
อ้างอิง:
|
#10
|
|||
|
|||
ไม่อยากให้ใครๆ เค้าคิดกันว่า "เรียน เลข เรียน วิทย์ จบแล้วก็ไปสอนหนังสือ" แต่ต้องเรียนเพราะ ฝึกฝนในการใช้ความคิด ใช้เหตุผล ว่า
ถ้า สิ่งหนึ่งเป็นอย่าง แล้ว สิ่งหนึ่งเป็นอีกอย่าง , แนวตรรกวิทยา ซึ่งสามารถฝึกให้คนเราสามารถใช้ความคิด หรือเหตุผล และแก้ปัญหา ไม่ใช่หนีปัญหา จนกลายเป็นว่า คนไทยเราคิดกันไม่เป็น(เคยถูกว่าโดยชาวต่างชาติ) ซึ่ง ไม่ว่าจะเรียนจบเลข จบวิทยา จบหมอ จบทนาย จบวิศว หรือ จบ มนุษย์ หรืออะไรก็แล้วแต่ คนไทยเราก็ต้องสามารถยืดหยุ่นและปรับตัวให้ได้กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล สามารถทำงานในสิ่งที่ ไม่ถนัด และคิดเสมอว่า สิ่งใหม่ๆ ย่อม ฝึกให้เราแก้ปัญหาต่างๆได้ งานอะไรก็ได้ ไม่สำคัญว่าจะต้องทำงานตามที่เราจบมา แต่เราต้องพร้อมรับที่จะแก้ปัญหา (เพราะฝึกฝนจากการเรียนอันยากลำบากถึง 4 ปี 6 ปี ในมหาวิทยาลัย) และจะทำให้คนไทยเรามีคุณภาพ และมีคุณค่า และสามารถแข่งขันกับคนต่างชาติได้ (คนไทยไม่แพ้ใครในโลก) ครับ |
#11
|
||||
|
||||
อ้างอิง:
|
#12
|
||||
|
||||
ผมจะเรียน Pure math ครับ
ถึงแม้จะไม่มีใครสนับสนุนก็ตาม.....
__________________
สัมหรับคณิตศาสตร์ ผมไม่มีแม้ซึ่งพรสวรรค์ไม่มีแม้โอกาสด้วยอยุ่ต่างจังหวัด จะมีก็แต่ความรักที่ทุ่มเท.... |
|
|