![]() |
|
สมัครสมาชิก | คู่มือการใช้ | รายชื่อสมาชิก | ปฏิทิน | ข้อความวันนี้ | ค้นหา |
![]() ![]() |
|
เครื่องมือของหัวข้อ | ค้นหาในหัวข้อนี้ |
#16
|
|||
|
|||
![]() เยี่ยมไปเลยครับคุณคิดด้วยคน ขอบคุณมากๆครับที่ช่วยให้ผมได้ตาสว่างซักที
![]() |
#17
|
|||
|
|||
![]() ข้อ 1) จะขออธิบายเพิ่มเติม ว่าทำไม Q(x) + (x-1)(x-2)(x-3)R(x) จึงเป็นคำตอบทั่วไปทั้งหมดนะครับ
![]() สำหรับพหุนาม P(x) ใดๆ ซึ่ง P(1) = 1, P(2) = 21/5 และ P(3) = 31/5 และ Q(x) เป็นพหุนามดีกรี 2 และเป็นดีกรีต่ำสุด ซึ่ง Q(1) = 1, Q(2) = 21/5 และ Q(3) = 31/5 เช่นกัน เนื่องจาก P(x) = Q(x) + ( P(x) - Q(x) ) P(1) = Q(1) + ( P(1) - Q(1) ) = 1 ดังนั้น P(1) - Q(1) = 0 หรือ P(x) - Q(x) มี (x-1) เป็นตัวประกอบ P(2) = Q(2) + ( P(2) - Q(2) ) = 21/5 ดังนั้น P(2) - Q(2) = 0 หรือ P(x) - Q(x) มี (x-2) เป็นตัวประกอบ P(3) = Q(3) + ( P(3) - Q(3) ) = 31/5 ดังนั้น P(3) - Q(3) = 0 หรือ P(x) - Q(x) มี (x-3) เป็นตัวประกอบ จึงได้ P(x) - Q(x) = (x-1)(x-2)(x-3)R(x) โดยที่ R(x) เป็นพหุนามใดๆ ดังนั้น P(x) = Q(x) + ( P(x) - Q(x) ) = Q(x) + (x-1)(x-2)(x-3)R(x) เป็นคำตอบทั่วไปทั้งหมด หมายเหตุ : Q(x) ไม่จำเป็นต้องเป็นพหุนามดีกรี 2 เช่น เราอาจเลือกพหุนามที่มีดีกรีมากกว่า 2 เป็น T(x) = Q(x) + (x-1)(x-2)(x-3)S(x) มาเป็นตัวเริ่มต้น ก็จะได้คำตอบทั่วไปคือ P(x) = T(x) + (x-1)(x-2)(x-3)R(x) และคำตอบทั่วไปนี้ก็ยังครอบคลุมไปถึง Q(x) ด้วยคือ หากเราเลือก R(x) = -S(x) ก็จะได้คำตอบหนึ่งคือ Q(x) นั่นเอง ข้อ 2) ผมลองกำหนด x เป็น 0, 1 และ -1 พบว่า a|90, a|92 และ (a+2)|88 จึงเหลือ a ที่เป็นไปได้เพียง 2 ค่าคือ -1 หรือ 2 แต่ก็ยังนึกทางไปต่อแบบไม่ใช้กำลังเข้าปะทะไม่ออก ![]() |
#18
|
|||
|
|||
![]() ขอต่อข้อ 2 ของคุณคิดด้วยคนให้จบนะครับ
ถ้า a=-1 แทนค่า x=3 ลงไป จะได้ว่า 5 หาร 313+3 ลงตัว ซึ่งไม่จริง เพราะ 313+3 บ 3(32)6+3 บ 1 (mod 5)
__________________
site:mathcenter.net คำค้น 10 กุมภาพันธ์ 2005 04:47 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ nooonuii |
#19
|
|||
|
|||
![]() ขอบคุณครับ คุณ nooonuii ที่ช่วยตอบ
ผมเชื่อว่าจะหา x สำหรับ a = -1 แล้วทำให้มันหารกันไม่ลงตัวได้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่า a = 2 เป็นคำตอบจริงๆ ![]() |
#20
|
|||
|
|||
![]() อ้างอิง:
![]() เนื่องจาก P(x) ณ 0 สำหรับทุกจำนวนจริง x ดังนั้นสัมประสิทธิ์ของ xn ใน P(x) จึงต้องเป็นจำนวนจริงบวก ให้ Q(x) = P(x) + P'(x) + ... + P(n)(x) ดังนั้น Q'(x) = P'(x) + P''(x) + ... + P(n)(x) เพราะ P(n+1)(x) = 0 เราจึงได้ว่า Q(x) = P(x) + Q'(x) เนื่องจาก Q(x) มีดีกรีเป็นเลขคู่ n และสัมประสิทธิ์ของ xn ใน Q(x) ก็มีค่าเท่ากับสัมประสิทธิ์ของ xn ใน P(x) ซึ่งเป็นจำนวนจริงบวก ดังนั้น Q(x) จะต้องมีค่าต่ำสุดสัมบูรณ์ สมมติให้ค่าต่ำสุดสัมบูรณ์ของ Q(x) นั้นเกิดที่ x0 ดังนั้น Q'(x0) = 0 และเนื่องจาก P(x0) ณ 0 เราจึงได้ว่า Q(x0) = P(x0) + Q'(x0) ณ 0 แต่ Q(x0) คือค่าต่ำสุดสัมบูรณ์ของ Q(x) = P(x) + P'(x) + ... + P(n)(x) เราจึงสามารถสรุปได้ว่า P(x) + P'(x) + ... + P(n)(x) ณ 0 สำหรับทุกจำนวนจริง x 23 กุมภาพันธ์ 2005 22:41 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 2 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ warut |
![]() ![]() |
![]() |
||||
หัวข้อ | ผู้ตั้งหัวข้อ | ห้อง | คำตอบ | ข้อความล่าสุด |
Function problems | Far | ปัญหาคณิตศาสตร์ทั่วไป | 4 | 23 กรกฎาคม 2009 05:09 |
e-book ภาษาไทย | tani | ปัญหาคณิตศาสตร์ทั่วไป | 9 | 13 กรกฎาคม 2007 11:20 |
Complex A. Problems | Mastermander | Calculus and Analysis | 6 | 26 ตุลาคม 2006 13:23 |
อยากทราบเรื่องthree famous problems of antiquity | nongteam | ปัญหาคณิตศาสตร์ทั่วไป | 1 | 03 กันยายน 2006 04:41 |
Advanced Linear Algebra Problems | nooonuii | พีชคณิต | 0 | 20 พฤษภาคม 2005 03:18 |
|
|