|
สมัครสมาชิก | คู่มือการใช้ | รายชื่อสมาชิก | ปฏิทิน | ข้อความวันนี้ | ค้นหา |
|
เครื่องมือของหัวข้อ | ค้นหาในหัวข้อนี้ |
#1
|
||||
|
||||
วิชาสำคัญที่ควรเรียนก่อน แต่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย
........วันก่อนได้รับโจทย์มาจากอาจารย์ท่านหนึ่ง ให้กลับไปพูดกับรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย
? เรื่องอะไรครับ?..... ผมถาม...... ?เรื่องอะไรก็ได้....ที่แต่ก่อนเรารู้สึกเสียดายที่ไม่มีรุ่นพี่คนไหนกลับมาพูดให้ฟัง...?..... อาจารย์ตอบ... ไม่รู้ว่าโจทย์ของอาจารย์จะเรียกว่าคมคายหรือว่ามักง่ายดี แต่ก็ทำเอาเรากลับไปขบคิดอยู่นานเหมือนกัน หลังจากที่พอได้เรียบเรียงเนื้อหาแล้ว เลยอยากถือโอกาสมาแอบเล่าให้น้องๆฟัง เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์บ้างกับความคิดของน้องๆ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา พี่ก็เพิ่งมีชีวิตและความคิดที่ไม่แตกต่างจากน้องๆหลายๆคนในที่นี้.... ....เรียนสำคัญที่สุด ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยให้คุ้มที่สุด เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด.... เป้าหมายสูงสุดของการใช้ชีวิตนิสิต คือ การได้เกรดดีๆ เพื่อที่ว่าจะเป็นใบเบิกทางสำหรับการทำงานต่อไป... ซึ่งสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ได้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้น ต้องผ่านการอ่านหนังสืออย่างหนักโดยเฉพาะช่วงสอบ แข่งขันกับตัวเองและกับเพื่อนๆเพื่อนำมาซึ่งคะแนนดีๆ กับวิชาความรู้ที่ยังตอบตัวเองไม่ได้เต็มปากว่า ?เรียนไปทำไม?? อย่างมากคำตอบที่หลุดออกมาน่าจะเป็นแค่ว่า.. ?คงจะได้ใช้ในการทำงาน...? ซึ่งตอนนี้พี่ว่านั่น...เป็นความคิดและช่วงเวลาที่ไร้ความหมายเสียจริงๆในชีวิตมหาวิทยาลัย เพราะสิ่งเหล่านั้นมันสะท้อนว่าเรากำลังใช้ชีวิตในการเรียนที่ ?ตาม? กระแสและค่านิยมที่สังคมสร้างไว้ เพื่อให้กลายเป็นบุคคลที่?ตาม?กระแสที่สังคมต้องการ เพราะเราตอบไม่ได้ว่าจะทำไปทำไม รู้แต่ว่าเขาให้เราทำ เราก็ทำไปเท่านั้น... นั่นแสดงว่าเราไม่ได้อยู่ในเส้นทางของตัวเองแล้ว......เส้นชัยที่เราจะไปถึงก็ไม่ใช่เส้นชัยของเรา อยากให้น้องลองคิดภาพตามดูว่า ถ้าเกิดเรากำลังวิ่งมาราธอนบนเส้นทางของชีวิต ที่เราต้องใช้ทั้งแรง ทั้งหยาดเหงื่อ เวลาและพละกำลังทั้งหมดไปกับการวิ่ง และสามารถเข้าเส้นชัยได้ในสภาพที่ไม่มีแรงเหลือไว้สำหรับทำอะไรอีกต่อไปแล้ว...... แล้วเราเงยหน้าขึ้นมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ..แล้วพบว่า...เส้นชัยนี้ไม่ใช่ของเรา และการเดินทางทั้งหมด พลังทั้งหมดของเราใกล้เคียงกับคำว่าสูญเปล่า.... มันคงจะน่าหงุดหงิดใจไม่น้อย น้องกำลังอยู่ในเส้นทางของตัวเองหรือเปล่า? เรียนวิชาที่เรียนไปทำไมไม่รู้ ทำเกรดดีๆไว้ก่อน จะได้ทำงานที่ดีๆที่ดังๆซักที่ที่ไหนไม่รู้ สะสมประสบการณ์อะไรไม่รู้ของตัวเองไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นผู้บริหารอะไรก็ไม่รู้ แล้วค่อยออกมาเปิดธุรกิจอะไรไม่รู้ เพื่อเกษียณชีวิตอะไรไม่รู้ของตัวเองอย่างสมบูรณ์ที่สุด นี่เหรอจ๊ะ....แผนที่วางไว้ ถ้ารู้ตัวว่านี่ไม่ใช่เส้นทางของเรา ไม่ใช่เส้นชัยของเรา.... ขอให้น้องเริ่มหาเสียแต่วันนี้ อยากจะเป็นอะไร อยากจะทำอะไร อยากมีชีวิตเป็นอย่างไร และสำรวจเส้นทางคร่าวๆว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เรียนอะไรบ้าง เพื่อให้ไปถึงเส้นชัยนั้น แล้วเราจะไม่มีคำถามกับตัวเองอีกต่อไปว่า ?เรียนไปทำไม?? เพราะน้องจะตระหนักถึงความหมายของทุกๆย่างก้าวในการเดินทางของชีวิต ทั้งหมดนี้คือแนวคิดเบื้องต้นของสิ่งที่พี่อยากจะบอกกับรุ่นน้องเหล่านั้น.... ค้นหาเป้าหมายตัวเองให้เจอ และเริ่มวางแผนการเดินทางชีวิตของตัวเองตั้งแต่วันนี้.... ....ก่อนที่มันจะสายเกินไป.... เป็นวิชาชีวิตที่สำคัญที่สุด ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนพี่ ขอให้น้องหาตัวเองให้เจอในเร็ววัน และเป็นกำลังใจให้น้องที่กำลังเดินทางในเส้นทางของตัวเองทุกคน Credit: http://www.pantip.com/cafe/siam/topi.../F9735542.html --------------------------------------------------------------------------------------- พอดีเห็นว่าตรงกับความคิดผมมากๆ อ่านไปนึกว่าเป็นร่างแบ่งตัวเองมาพิมพ์ทิ้งเอาไว้ตอนไหน เลยเอามาแปะไว้ให้อ่านกัน ครับ
__________________
I am _ _ _ _ locked 27 กันยายน 2010 02:33 : ข้อความนี้ถูกแก้ไขแล้ว 1 ครั้ง, ครั้งล่าสุดโดยคุณ t.B. |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณมากเลยครับ เขียนได้ดีจริงๆครับ
คำถามที่ว่าเรียนไปทำอะไร? เรียนไปทำไม? เรียนแล้วเอาไปใช้รึป่าว? เจอบ่อยมากครับ คงเป็นเพราะไม่มีจุดมุ่งหมายของตัวเองตามที่คุณ t.B. แปะไว้ให้ นักเรียนปัจจุบันขยันเรียนครับ อาทิตย์นึงบางทีเรียน 7 วันครบเลย แต่พอถามว่าจบแล้วจะทำงานอะไรกลับตอบว่า " ไม่รู้" ถามว่าชอบวิชาอะไรที่สุด "ไม่รู้" เรียนวิชาไหนรู้เรื่องที่สุด "ไม่รู้เรื่องสักวิชามั่วๆเอา" วิชาไหนเกรดดีที่สุด"วิชา...แต่ฟลุ๊ค" ถามว่าอนาคตอยากเป็นอะไร "อยากเป็นดารา,นักร้อง" ได้ฟังแล้วเป็นห่วงจริงๆครับ ผมจะพยายามถามเด็กเสมอกับคำถามพวกนี้ เพื่อกระตุ้นให้เค้าได้คิดเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองบ้าง
__________________
คณิตศาสตร์ คือ ภาษาสากล คณิตศาสตร์ คือ ความสวยงาม คณิตศาสตร์ คือ ความจริง ติดตามชมคลิปวีดีโอได้ที่http://www.youtube.com/user/poperKM |
#3
|
||||
|
||||
กระทู้วิชาการเห็นทีไรไม่ค่อยอยากตอบเท่าไรเดี๋ยวตอบผิด ปี๊บก็หาซื้อยากซะด้วย ตอบกระทู้ฟรีสไตล์ดีกว่า มีแต่มันส์ ไม่มีเสียว
เรื่องราวลักษณะนี้เรามักจะเจอในรั้วชีวิตของมหาวิยาลัย ซึ่งคนที่ผ่านการกรำศึกจากการอ่านหนังสือมาอย่างหนัก โดยมีเป้าหมายชีวิตสูงสุดของคนในช่วงวัยนั้นคือการก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ถือเป็นความฝันอันสูงสุดก็ว่าได้ นิสิตนักศึกษาหลายต่อหลายคน พอได้เข้ารั้วมหาวิทยาลัยจึงได้หันมาทำกิจกรรมบ้าง เฮฮาปาร์ตี้บ้าง เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยจากการกรำศึกมาก่อนหน้านี้ และหลายต่อหลายคนได้ไปตามเส้นทางที่ว่า "ฉันจึงมาหาความหมาย" กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ปี 3-4 แล้ว แต่ก็มีอีกหลายคน ที่สามารถแบ่งเวลาและทำกิจกรรมไปควบคู่ได้ดีทีเดียว แม้ว่าการเรียนอาจไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่ขี้เหร่ นิสิต นักศึกษาที่ได้มีโอกาสดีกว่าอีกหลายคนที่ได้เรียนในมหาวิทยาลัย แต่ไม่สามารถผ่านได้ก็มีจำนวนไม่น้อยหรือผ่านไปแบบผีหามถึงป่าช้าก็ว่าได้ ทั้งนี้เพราะชีวิตในมหาวิทยาลัยมีความเป็นอิสระมากว่าชีวิตในมัธยมมากนัก ไม่เช็คชื่อเข้าเรียน ไม่ต้องตัดผมเกรียน ความมีวินัยจึงเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในชิวิตมหาวิทยาลัย แต่กับไม่ค่อยมีใครพูดถึง ทิ้งประเด็นต่างให้ขบคิดกันเล่นๆ กลับมาตรงประเด็นที่ว่าพอมาถึง ม.6 แล้วเลือกเรียนอะไรดี ถ้าเอากันจริงๆ ผมว่าร้อยละ 80 ยังมองไม่ออกว่าจบแล้วไปทำอะไร รับผิดชอบกับงานมากน้อยขนาดไหนต้องเจออะไรบ้างในงานที่ทำ แม้แต่อาชีพที่เห็นชัดๆ อย่าง แพทย์ วิศวกร หรือสถาปิก อย่าตอบว่า หมอก็รักษาคน วิศวกรก็สร้างบ้าน สถาปนิกก็ออกแบบ ผมว่ามันง่ายไป ในความเป็นจริงทุกยุคทุกสมัย ผมมีความรู้สึกว่าไม่มีระบบเตรียมความรู้ให้เด็กที่จะไปตัดสินใจเลือกว่าจะเข้าคณะไหน มีแต่เตรียมในลักษณะที่ว่าถ้าเด็กเก่งเรียนอะไรก็ได้ อันนั้นถูกเพียงส่วนหนึ่ง นักเรียนมักเลือกตามเพื่อนหรือตามคนที่เค้าเห็นเป็นแบบอย่างหรือตามกระแสสังคม แม้แต่ว่าปัจจุบันนี้จะมีการ open house ของมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้เป็นข้อมูลของเด็กในการตัดสินใจส่วนหนึ่ง แต่ก็มักออกมาในเชิงการตลาดเรียกลูกค้าซะมากกว่า ทิ้งประเด็นไว้ให้ขบคิด ลองพิจารณาว่าถ้าเข้าไปเรียนแล้วเรียนไม่ไหวหรือไม่เป็นอย่างที่คิด หรือจบแล้วหางานทำไม่ได้ จะแก้อย่างไร บางคนอาจโทษกิจกรรมที่ทำ ทำให้เป็นอย่างนี้ คำตอบคือจริงหรือ? มีหลายคนที่ผมรู้จัก จบเภสัช ทำงานอยู่ 1-2 ปี ออกไปเรียนต่อ mba แล้วไปเป็นผู้บริหารบริษัท ทิ้งความรู้ยาไปเลย หรือคนที่จบหมอมาทำธุรกิจทอง ก็มี หรือจบวิทยาศาสตร์ ออกมาค้าขายก็มาก เป็นต้น และไม่แน่เห็นท่านกิตติ(ขออภัยที่กล่าวถึง)บ่นๆในอีกกระทู้ว่าน่าไปเป็นครูเพราะเงินเดือนมาเกือบเท่าหมอแล้ว(แซวเล่นครับ อย่าซีเรียส) ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่อยากจะให้เห็นมุมต่างอีกมุม |
|
|