ถ้าต้องการเรียนคณิตศาสตร์ให้ได้เกรด 4 ตลอดชีวิต
ถ้าต้องการเตรียมสอบ Entrance ในเวลา 3 วัน
ถ้าต้องการเป็นที่ 1 ระดับชั้น
ถ้าต้องการสอบแข่งขันอยู่ในระดับ 1 ใน 10 ของประเทศ
มันคือประสบการณ์จริงจากชีวิตผม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกันล่ะ
อ่านแล้วคุณอาจจะได้วิธีการเรียนที่ดีที่สุดแก่ตัวคุณเอง (ผมหวังว่ายังนั้น)
คุมตัวของคุณเองให้ได้อย่างที่ต้องการจะเป็น แพ้ชนะอยู่ที่การสู้กับตัวเอง มิใช่สู้กับคนอื่น
ความขยันอันไม่มีอะไรจะหยุดได้
ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สำเร็จมิได้ด้วยความเพียร
สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นหลักการควบคุมตัวเองทั้งสิ้น ลองด้วยตัวคุณเองแล้วจะรู้ว่า ผมไม่ได้โกหกคุณเลย (ถ้าคุณทำตามที่ผมว่ามาได้นะ ........ต้องได้ซิถ้าคุณจะทำจริง ๆ เพราะผมก็ทำมาแล้ว ....)
มองขั้นตอนทั้งหมดสรุปย่อโดยรวม
- ควบคุมภาวะการหลับและการตื่นได้ดั่งใจ
- ออกกำลังสม่ำเสมอ เพื่อพลังกายที่สมบูรณ์แบบ
- อ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2 ชม.(หรือตามที่คิดว่าเหมาะสมกับคุณ)
- นั่งสมาธิและทบทวนก่อนนอน และ ตื่นนอนทุกวัน
เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือครับ. เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ครับ. ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากครับ.
เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอครับ. แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องครับ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ
อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยกครับ. ครั้งละ 25 - 30 นาที และพัก 5- 10 นาที
สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร
ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ครับ. ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ด ี ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ครับ.
เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1 เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ ครับ. เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า where do you go .? อะไรเป็นต้น แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที ก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ
อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วครับ. ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลครับ. แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยครับ. จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด . สำคัญคือความตั้งใจนะครับ. ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้ โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วครับ. ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกครับ. จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยครับ
ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงครับ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับ. ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง โดยทำดังต่อไปนี้ครับ.
ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์ นึกนะครับ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ให้เลิกครับ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่ คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะครับ. ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์
คือกระบวนการสอบแข่งขันครับ. ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ครับ. เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ
สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่ พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก อ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ. ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด